จากการประชุมวิชาการทันตสาธารณสุขแห่งชาติ ครั้งที่ 8 โดยกระทรวงสาธารณสุข ในเดือน ก.ค.2565 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “ความเสมอภาคด้านสุขภาพช่องปาก : Equity in Oral Health” มีรายงานด้านสถิติว่าเด็กไทยกว่าร้อยละ 50 มีปัญหาฟันผุ และมากกว่าร้อยละ 60 ของผู้ใหญ่มีปัญหาโรคเหงือกอักเสบ นอกจากนั้น ปัจจุบันอัตราการเข้าถึงบริการทันตกรรมของคนไทยยังต่ำกว่าร้อยละ 10 อีกด้วย
นอกจากการแก้ปัญหาเบื้องต้นที่ส่งเสริมกันอย่างต่อเนื่อง เรื่องการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แปรงฟันให้นานกว่า 2 นาที และลดการกินของหวาน ขนม ลูกอมต่างๆ แล้วนั้น
"การแปรงแห้ง" หรือ การแปรงฟันโดยไม่ใช้น้ำเลย ก็เป็นวิธีที่ทำให้การดูแลช่องปากมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้น ยังเป็นวิธีแปรงฟันที่ทั่วโลกนิยมทำกัน เช่นเดียวกับหน่วยทันตกรรมชุมชนในหลายๆ พื้นที่ในต่างจังหวัด เริ่มรณรงค์ให้เด็กนักเรียน คนในชุมชน หันมาฝึก "แปรงแห้ง" กันมากขึ้น เพื่อลดโอกาสการเกิดฟันผุ และโรคทางช่องปากอื่นๆ ได้
แปรงแห้ง คืออะไรและทำยังไง?
คือ การแปรงฟันโดยไม่ใช้น้ำ ทั้งก่อนและหลังแปรงฟัน นั่นหมายถึง เมื่อหยิบแปรงสีฟันมาแล้ว ให้บีบยาสีฟันความยาวเท่ากับความยาวของขนแปรงสีฟัน และแปรงฟันได้เลย โดยที่ไม่ต้องกลั้วช่องปากด้วยน้ำก่อน และต้องแปรงฟันให้ทั่วทั้งปากนานกว่า 2 นาที จากนั้นให้ "ถุย" ฟองยาสีฟันในปากออก ใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูเช็ดคราบที่เลอะขอบปาก
ยังไม่จบ!
ให้งดการกิน ดื่ม บ้วน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ หรือแม้กระทั่งน้ำยาบ้วนปาก เป็นเวลา 30 นาทีหลังจากแปรงฟันแล้ว
ถึงจะเรียกว่า จบกระบวนการการแปรงแห้ง
"ถุย"ฟองยาสีฟัน?
ทันตแพทย์ทั่วโลกมีการพูดคุยเชิงวิชาการมานานเรื่องของการแปรงแห้ง จนกระทั่งสามารถตกผลึกและใช้ข้อความสั้นๆ เพื่อสื่อให้ชัดเจนว่า
SPIT DON'T RINSE - ถุยทิ้ง ไม่ต้องบ้วนน้ำ
เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของการแปรงแห้งคือ ให้ฟลูออไรด์จากยาสีฟันทำหน้าที่เคลือบผิวฟันให้ได้มากและนานที่สุด
บ้วนน้ำเยอะฟันผุเยอะ
มีงานวิจัยจำนวนมากในต่างประเทศ ที่วัดระดับฟลูออไรด์ที่เคลือบผิวฟันของอาสาสมัครที่แปรงฟันเสร็จแล้วบ้วนน้ำตามหลายครั้ง, บ้วนน้ำตาม 1-2 ครั้ง และไม่บ้วนน้ำตามเลย ผลการวิจัยพบว่า ระดับฟลูออไรด์ที่ผิวฟันของคนที่ไม่บ้วนน้ำตามเลยมีปริมาณที่มากที่สุด รองลงมาคือบ้วนน้ำตาม 1-2 ครั้ง และแทบจะไม่มีฟลูออไรด์เลยในคนที่บ้วนน้ำล้างปากหลายๆ ครั้งหลังการแปรงฟัน
เช่นเดียวกับการวิจัยโรงเรียนเด็กเล็ก 2 โรงเรียนในประเทศอังกฤษ ที่กำหนดให้โรงเรียนหนึ่งให้เด็กๆ แปรงแห้ง ส่วนอีกโรงเรียนหนึ่งให้แปรงเปียก เป็นเวลาทั้งหมด 3 ปี ผลการวิจัยพบว่า อัตราของเด็กที่ฟันผุจากโรงเรียนที่แปรงเปียก มีมากกว่า โรงเรียนที่แปรงแห้ง
ทญ.สุดาดวง กฤษฎาพงษ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า
ถ้าแปรงแห้ง ฟลูออไรด์จะเกาะที่ฟัน 100%
ถ้าบ้วนน้ำตาม 1 ครั้ง ฟลูออไรด์หายไป 50%
และจะหายไปอีกทุกๆ 50% เมื่อบ้วนน้ำไปเรื่อยๆ
ฟลูออไรด์นั้นสำคัญไฉน?
ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ โดยฟลูออไรด์จะไปสะสมอยู่ในตัวฟันทำให้ผลึกเคลือบฟันแข็งแรงขึ้น ทนต่อกรดที่ทำให้เกิดฟันผุได้มากขึ้น ยังช่วยยับยั้งการละลายตัวของแร่ธาตุที่ผิวฟันและกระตุ้นให้เกิดการสะสมกลับของแร่ธาตุที่ผิวฟันได้ด้วย นอกจากนี้ฟลูออไรด์ยังช่วยยับยั้งการสร้างกรดของแบคทีเรียและยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฟลูออไรด์ยิ่งสำคัญกับการป้องกันฟันผุก็คือ พฤติกรรมการกินน้ำตาลของคนไทย ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดของฟันผุ และฟันผุซ้ำซาก
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าควรบริโภคน้ำตาลไม่เกินวันละ 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชา แต่คนไทยบริโภคน้ำตาลวันละ 104 กรัม หรือ 26 ช้อนชา สูงกว่าถึง 4 เท่าของปริมาณที่แนะนำ ดังนั้น "การแปรงแห้ง" จึงเหมาะสมมากที่สุดสำคัญคนที่เสี่ยงฟันผุจากการกินน้ำตาลหรือของหวาน
แต่ในทางกลับกัน หากไม่มีความเสี่ยงฟันผุ หรือคนที่ไม่ชอบกินน้ำตาลเลย การแปรงแห้งก็ไม่มีความจำเป็นก็ได้
ใช้น้ำยาบ้วนปากแทนน้ำเปล่าหลังแปรงฟันได้ไหม?
จริงอยู่ที่ในน้ำยาบ้วนปากจะมีการผสมฟลูออไรด์เพิ่มเข้าไป แต่ฟลูออไรด์ในน้ำยาบ้วนปากจะมีประโยชน์เมื่อ ฟลูออไรด์จากยาสีฟันถูกละลายไปกับน้ำที่ใช้บ้วนปากหลังการแปรงเปียกไปแล้วแค่นั้น นั่นหมายถึง หากใช้การแปรงแห้งเป็นประจำ ฟลูออไรด์ที่ได้จากยาสีฟันจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าฟลูออไรด์จากน้ำยาบ้วนปากด้วยซ้ำ
ดังนั้นน้ำยาบ้วนปากที่ดีที่สุดคือ ฟองยาสีฟันในปากหลังจากการแปรงแห้งเสร็จ ให้จิบน้ำประมาณ 1 ช้อนชาแล้วกลั้วให้ทั่วช่องปาก จากนั้นถึงบ้วนทิ้ง วิธีนี้จะได้รับฟลูออไรด์ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด
ทำใจแปรงแห้งไม่ได้ เพราะเศษอาหารในช่องปาก
ก่อนแปรงแห้ง ควรกำจัดเศษอาหารในช่องปากก่อน ด้วยการใช้ "ไหมขัดฟัน" หรือ "ไม้จิ้มฟัน" ส่วนผู้ที่ประสบปัญหาฟันเก ฟันไม่สบกันตามปกติให้บ้วนน้ำแรงๆเพื่อให้เศษอาหารหลุดออกให้มากที่สุดก่อน จากนั้นเช็ดปากให้แห้ง แล้วค่อยเริ่มแปรงแห้ง
กลืนยาสีฟัน ไม่อันตราย?
แทบทุกคนที่ต้องบ้วนปากหลังแปรงฟัน เพราะเข้าใจว่า ไม่ต้องการให้ยาสีฟันอยู่ในปาก เดี๋ยวจะเสี่ยงได้รับสารเคมีอื่นๆ ลงท้องไปด้วย ตามข้อเท็จจริงแล้ว ในสัดส่วนส่วนประกอบของยาสีฟันจะถูกกำหนดโดยสำนักงานองค์การอาหารและยา (อย.) อยู่แล้วว่าปริมาณที่เผื่อการกินลงไปแล้วโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
แปรงฟันให้บ่อยขึ้นทดแทนแปรงแห้งได้ไหม?
ข้อมูลทางทันตกรรมจากทั่วโลก "ยังไม่สามารถ" สรุปได้แน่ชัดว่า การแปรงฟัน (แปรงเปียก) 3 ครั้งต่อวัน จะให้ผลด้านความสะอาด ฟันสุขภาพดี ลดอัตราฟันผุ ได้ดีกว่าการแปรงฟัน 2 ครั้งต่อวัน
แต่ข้อมูลที่สรุปได้ชัดเจนคือ การบ้วนปากด้วยน้ำหลังการแปรงฟัน ทำให้ปริมาณฟลูออไรด์ที่ติดอยู่ที่ผิวฟัน น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการแปรงแห้ง ที่ไม่ได้ใช้น้ำบ้วนปากเลย
ทันตแพทย์หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การทำฟันให้ผู้ที่เข้ามารักษานั้น เหมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และแก้เท่าไหร่ก็คงไม่มีวันหมด ถ้าต้นเหตุ เช่น การบริโภคน้ำตาลของคนไทยยังสูง รวมถึงการดูแลช่องปากยังไม่ถูกวิธีและมีประสิทธิภาพมากพอ
การแปรงแห้ง ถึงจะอยู่เป็นเรื่องใหม่ ไม่คุ้นชินในสังคมไทย แต่ถ้ามีการรณรงค์ให้ทำกันมากขึ้น ก็จะช่วยแก้ปัญหาต้นเหตุได้ดี การแปรงฟันเป็นเรื่องสุขอนามัยที่ทำเองที่บ้านได้ ทำได้ตลอดทุกวันและทุกวัย
เป็นการทำฟันที่เจ็บน้อยที่สุดแล้วจริงๆ
อ้างอิง : บทความฟื้นวิชา “แปรงแห้ง” โดย ศ.ดร.ทญ.สุดาดวง กฤษฎาพงษ์ ภาควิชาทันตกรรมชุมชน คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากวารสารวิชาการสาธารณสุข ปีที่ 26 ฉบับเพิ่มเติม 2, กันยายน-ตุลาคม 2560 หน้า 348-359