ต้องเริ่มต้นจากดินแดนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างไกลแสนไกล มีกษัตริย์องค์หนึ่ง ที่จู่ๆ ก็อยากออกบวชขึ้นมา พระองค์จึงออกบวชเป็นฤาษีและบำเพ็ญตนอยู่ราว 2,000 ปี ฤาษีท่านนี้มีชื่อว่า “ฤาษีโคดม”
วันหนึ่งมีนกกระจาบที่ทำรังอยู่ใกล้ๆ พูดกับฤาษีโคดมว่า
ท่านฤาษีนั้นเป็นคนบาป เพราะท่านได้ละทิ้งเมืองมาบวชและไม่มีลูกไว้สืบราชบัลลังก์ ทำให้เมืองของท่านนั้นล่มสลายไป
ฤาษีได้ฟังเช่นนั้น จึงบำเพ็ญตบะทำพิธีขอผู้หญิงขึ้นมา ซึ่งก็คือ “นางกาลอจนา” และมีลูกสาวขึ้นมา 1 คน ชื่อว่า “นางสวาหะ”
ขณะนั้น “พระอินทร์” และ “พระอาทิตย์” ล่วงรู้ถึงการกลับมาเกิดของ “นนทก” ในร่างของ “ทศกัณฐ์” จึงต้องการแบ่งพลังตนมาช่วย “พระนารายณ์” ซึ่งอวตารลงมาในร่างของ “พระราม”
พระอินทร์ จึงเสกให้นางกาลอจนาท้องแล้วให้กำเนิด “พระยากากาศ”
ส่วน พระอาทิตย์ ก็เสกให้นางกาลอจนาท้องอีกครั้ง และให้กำเนิด “สุครีพ” ตามมา
ซึ่งเด็กผู้ชายทั้ง 2 คนที่นางกาลอจนาให้กำเนิดมานี้ ทั้งฤาษีโคดมและนางกาลอจนา เข้าใจและคิดมาตลอดว่า “เป็นลูกของตนทั้ง 2” จึงให้การเลี้ยงดูรวม จนถึงฤาษีการสอนวิชาต่างๆให้เสียหมดสิ้น
ความลับไม่มีในโลก
พี่สาวคนโตของครอบครัว “นางสวาหะ” รับรู้มาตลอดว่า น้องชายทั้ง 2 ของตนนั้นหาใช่ลูกชายของพ่อตนไม่ และด้วยความอิจฉาที่พ่อสอนวิชาต่างๆให้น้อง วันหนึ่งนางสวาหะจึงบอกความจริงให้ฤาษีโคดมผู้เป็นพ่อรู้ ว่าลูกชายทั้ง 2 ที่ฟูมฟักเลี้ยงดูมานั้น ไม่ใช่ลูกของตน แต่เป็นลูกชู้
ฤาษีโคดมจึงเรียกลูกทั้ง 3 มา และบอกว่าจะปล่อยลูกทั้ง 3 ลงแม่น้ำ
หากใครเป็นลูกของตน ขอให้จงว่ายกลับมาหาตน แต่หากใครไม่ใช่ ขอให้กลายร่างเป็นลิงและให้ไปอยู่ในป่า อย่ากลับมาอยู่ร่วมชายคากับตนอีก
สิ้นเสียงคำร่ายมนต์ ฤาษีโคดมก็ปล่อยลูกทั้ง 3 ลงน้ำ และความจริงทั้งหมดก็ปรากฏ เมื่อมีเพียงลูกสาวของตนเพียงคนเดียวที่ว่ายกลับเข้ามา
ส่วนลูกชายอีก 2 คนกลายร่างเป็นลิงสีเขียว และลิงสีแดง และวิ่งหนีออกไปเข้าป่า ตามมนต์ที่ตนได้ร่ายไว้
ความเสียใจ ความโกรธทั้งหมด กลับตกลงที่นางกาลอจนา ผู้เป็นเมีย ฤาษีโคดมระบายความโกรธแค้นด้วยการสาปให้เมียตนกลายเป็นหิน แต่ก่อนผู้เป็นแม่จะกลายเป็นหิน นางสั่งสอนความอิจฉาของลูกสาวคนโตด้วยการสาปให้ นางสวาหะต้องยืนขาเดียวที่เชิงเขาไปตลอดกาล จะสิ้นคำสาปได้เมื่อนางสวาหะให้กำเนิดวานรที่มีฤทธิ์เก่งกว่าวานรทั้งปวง
เมืองขีดขิน
หลังจาก 2 ชายที่กลายร่างเป็นลิง ได้วิ่งหนีเข้าป่าแล้วนั้น พระอินทร์เกิดสงสารลูกชายตนเป็นที่สุด จึงเนรมิต “เมืองขีดขิน” ขึ้นมา และตั้งให้ “พระยากากาศ” ลูกชายตนเป็นเจ้าเมือง รวมถึงเปลี่ยนชื่อเอาฤกษ์เอาชัยใหม่ให้เป็น “พญาพาลี” และให้ “สุครีพ” เป็นอุปราชเมือง
** ให้จำกันง่ายๆว่า พาลี ลิงสีเขียว เพราะเป็นลูกพระอินทร์ (พระอินทร์มีกายสีเขียว) ส่วนสุครีพ ลิงสีแดง เพราะเป็นลูกพระอาทิตย์ (พระอาทิตย์สีแดง) **
ความสามารถของแต่ละวานร
พาลี เวลาต่อสู้ จะสามารถดึงพลังจากศัตรูมาครึ่งหนึ่ง แล้วตัวเองก็จะมีพลังเพิ่มอีกครึ่งหนึ่ง ยิ่งสู้ พลังศัตรูยิ่งลด ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในปฐพีลิงก็ว่าได้
พาลีมีพลังเยอะมาก เคยถูกพระอิศวรสั่งให้ช่วยยกเขาพระสุเมรุกลับสู่ตำแหน่งเดิมร่วมกับสุครีพมาแล้ว นอกจากนั้น ความแข็งแกร่งของพาลียังสามารถจับศรของพระรามให้หยุดได้ด้วยมือเปล่า ซึ่งไม่มีใครที่สามารถทำได้เลย แต่เพราะความตระบัดสัตย์ต่อพระนารายณ์ จึงจำเป็นต้องตายด้วยคมศรของพระราม
สุครีพ ขึ้นชื่อเรื่องความกตัญญูและซื่อสัตย์ ซื่อตรงมาก พละกำลังก็มีมากอยู่พอกัน สุครีพจะเป็นลิงที่นำทัพของพระรามเสมอในทุกๆ การทำศึก มีความฉลาดเรื่องการวางแผนการรบ นอกจาก หนุมาน มือขวาพระรามแล้ว สุครีพ ก็ถือว่าเป็นวานรมือเอก ตัวสำคัญของพระรามอีกตัวเลยทีเดียว
ตั้งแต่รัชสมัยรัชกาลที่ ๑ มีการนำชื่อตัวละครวานร 2 ตัวนี้มาตั้งชื่อ เรือพระที่นั่งในกระบวนพยุหยาตรา คือ เรือพาลีรั้งทวีป และ เรือสุครีพครองเมือง และจากบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ในสมัยรัชกาลที่ ๑ นี้เอง
และช่วงก่อนที่พาลีจะตายนั้น ได้เกิด “โคลงพาลีสอนน้อง” ขึ้นมา ซึ่งเป็น 10 คำสั่งสอนที่ยังคงนำมาใช้จนถึงปัจจุบันนี้
อ้างอิง : บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑
อ่านเพิ่ม : รามเกียรติ์ ตอน ศึกทรพา-ทรพี