วันนี้ (9 ม.ค.2566) สายการบินเซียะเหมินแอร์ไลน์ (Xiamen Airlines) เที่ยวบิน MF833 เส้นทางเซียะเหมิน-กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) เป็นเที่ยวบินแรกที่นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมายังประเทศไทย กำหนดเวลาถึง 12.50 น.โดยใช้อากาศยานโบอิง 787-9 จำนวน 286 ที่นั่ง
โดยจะมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ร่วมกับ รมว.คมนาคม และ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยไปรับชาวจีนที่เดินทางมากับเที่ยวบินดังกล่าว
การเดินทางมาไทยของนักท่องเที่ยวจีนไม่ได้มีมาตรการใดเพิ่มเติม แต่ต้องเป็นไปตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
โดยต้องแสดงข้อมูลการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม หรือจดหมายรับรองว่าหายจากโควิด-19 ไม่เกิน 6 เดือน มีประกันสุขภาพครอบคลุมการรักษาโควิด-19 ตลอดช่วงเวลาอยู่ในไทย และบวกเพิ่มอีก 7 วัน
แต่ประกาศนี้ ยกเว้นผู้ที่ถือพาสปอร์ตไทย และผู้โดยสารที่เปลี่ยนเครื่อง หากพบผู้มีอาการเข้าข่ายโควิด-19 ให้ตรวจหาเชื้อทันที นอกจากนั้น ระหว่างอยู่บนเครื่องขอให้ผู้เดินทางสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
ข้อปฏิบัตินี้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 9-31 มกราคม 2566
ช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) จะมีสายการบินของจีนขอตารางการบินเข้าประเทศไทยใน 3 ท่าอากาศยานหลัก คือ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ และท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต จำนวนทั้งสิ้น 15 สายการบิน โดยยื่นเสนอขอทำการบินรวม 15 เที่ยวบิน/วัน
จากข้อมูลของ กพท. พบว่า ใน 3 เดือนแรก จะมีเที่ยวบินจากจีนบินเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมประมาณ 338 เที่ยวบิน
- เดือนมกราคม 98 เที่ยวบิน
- เดือนกุมภาพันธ์ 144 เที่ยวบิน
- เดือนมีนาคม 96 เที่ยวบิน
เมื่อจีนประกาศยกเลิกข้อบังคับที่เข้มงวด และเปิดให้มีการเดินทางได้ ก็เป็นความหวังใหญ่ของการท่องเที่ยวไทย เพราะหากย้อนไปช่วงเวลาก่อนโควิด-19 จะระบาดนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาตลอด
ในปี 2562 ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวไทยมีจำนวนมากกว่า 11 ล้านคน และสร้างรายได้ให้ไทยมากกว่า 530,000 ล้านบาท
ต่อมาในช่วงต้นปี 2563 ไทยยังต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน ก่อนจะเกิดการระบาดในไทยและทั่วโลก แต่ละประเทศปิดเมือง ปิดประเทศ หยุดเดินทาง ทำให้สถิติการเดินทางหดหายไปเหลือเพียง 1 ใน 10
ส่วนในปี 2565 ที่ผ่านมา เริ่มมีมาตรการผ่อนคลายการเดินทาง ผู้เดินทางส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุน นักธุรกิจ ข้อมูลเดือนพฤศจิกายน พบว่ามีผู้เดินทางจากจีน 210,000 คน และประมาณการว่าอาจมีมากถึง 260,000 คนในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ส่วนปี 2566 นี้ เมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายการเดินทาง ไทยจึงคาดหวังว่าจะเป็นประเทศแรกๆ ที่เป็นเป้าหมายของชาวจีน และคาดหวังว่าจะมีนักเดินทางจากจีน เดินทางเข้าไทยถึง 5 ล้านคน และค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นจนเป็นปกติ
ผู้ค้าย่านเยาวราชเริ่มมีความหวัง
การเปิดประเทศของจีนทำให้เหล่าพ่อค้าเเม่ค้ารู้สึกมีความหวังเพิ่มขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวจีน เป็นตลาดที่มีความสำคัญต่อการฟื้นตัวภาคท่องเที่ยวของไทยและของโลก เนื่องจากมีกำลังซื้อและใช้จ่ายสูง
ผู้ค้าย่านเยาวราช ให้ความเห็นว่าการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีนจะทำให้เศรษฐกิจย่านเยาวราชดีขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวหลักย่านเยาวราชเป็นนักท่องเที่ยวจีนมากถึงร้อยละ 70-80 ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนจะนิยม เที่ยว-ชม-กิน เเละที่สำคัญซื้อของฝาก กลับไปด้วย
เจ้าของร้านขายของฝากบางแห่ง บอกว่านักท่องเที่ยวจีนนิยมซื้อของฝากกลับบ้าน เช่น หมูแผ่น หมูหยอง ขนมไทย เช่น ข้าวตัง ทองม้วน ผลไม้อบแห้ง
ส่วนความกังวลการระบาดของโควิดในประเทศจีนนั้น ผู้ค้าให้ความเห็นว่าไม่ได้กังวลเพราะก่อนเดินทางออกประเทศ นักท่องเที่ยวมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อยู่แล้ว
ส่วนผู้ค้าเน้นการป้องกันตนเองตามที่ได้ปฎิบัติกันอยู่ เนื่องจากขณะนี้พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจากยุโรปไม่นิยมสวมหน้ากากอนามัย
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่าการเปิดประเทศของรัฐบาลจีนเป็นปัจจัยบวกสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยและทั่วโลก โดยประเมินว่าปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวจีน 5-6 ล้านคน จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 20 ล้าน และคาดทั้งปีมีนักท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคน
ข้อมูลจาก ททท. รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2562
- ไทยมีนักท่องเที่ยวประมาณ 40 ล้านคน
- เป็นนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุด 11 ล้านคน
- ใช้ระยะเวลาในการพักอยู่ที่ 7-8 วัน
- ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/คน 6,118 บาท
- สร้างรายได้กว่า 530,000 ล้านบาท
- จังหวัดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ภูเก็ต เกาะสมุย พัทยา เป็นต้น
พาณิชย์จัด"ตลาดต้องชม" กระตุ้นจับจ่าย
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 กรมการค้าภายในมีตลาดต้องชมกว่า 180 ตลาด ได้แก่
- ภาคเหนือ 41 แห่ง
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 44 แห่ง
- ภาคกลาง 61 แห่ง
- ภาคใต้ 28 แห่ง
- กรุงเทพฯ 6 แห่ง
โดยตลาดต้องชมแต่ละแห่ง มีกิจกรรมกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมากมาย ให้ได้ ชม-ช้อป ผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการจากฝีมือคนไทยเพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน
ที่ผ่านมากรมการค้าภายในได้จัดกิจกรรมเชิญชวน ให้ประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยวหรือเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ แวะท่องเที่ยว หรือพักรถที่ตลาดต้องชมของแต่ละจังหวัดตามเส้นทางไปยังจุดหมายปลายทาง ในทุกภาคของประเทศไทย