วันนี้ (26 ม.ค.2566) นายนรินทร์ ประทวนชัย รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวภายหลังลงพื้นที่แก้ปัญหาข้อพิพาทที่ดินทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ของชาวอุรักลาโว๊ย บนเกาะหลีเป๊ะว่า กรมที่ดินได้ชี้ยืนยันแนวเขตหนังสือแสดงสิทธิการครอบครองที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 11 ร่วมกับกรมอุทยานฯ พบการครอบครองดินส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรีสอร์ต มีหนังสือแสดงสิทธิการครอบครองที่ดิน น.ส.3 และ ส.ค.1 โดยมีชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ น.ส.3 เลขที่ 11 ด้วย
จากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า ตามเอกสาร น.ส.3 เลขที่ 11 พื้นที่ 81 ไร่เศษ พื้นที่บางส่วนได้ซ้อนทับกับที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวเลดั้งเดิม และมีบางส่วนของชุมชนอยู่นอกพื้นที่ น.ส.3 เลขที่ 11 การแก้ไขปัญหา จึงต้องตรวจสอบที่ดินตามหลักฐานเอกสาร น.ส.3 ส.ค.1 พร้อมที่ตั้งของที่อยู่อาศัยของชาวเล และทำแผนที่แนวเขตที่ดินในรูปของคณะกรรมการฯ
พบรีสอร์ตรุกเกาหลีเป๊ะ 44 คดี
กรณีนายทุนที่มีการบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ ตะรุเตา ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน ดำเนินคดีพื้นบริเวณเกาะหลีเป๊ะรวม 44 คดี คดีสิ้นสุดแล้ว 22 คดี อยู่ในชั้นอัยการ 18 คดี ชั้นศาล 4 คดี
นายนรินทร์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาที่ดิน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของชาวบ้านดั้งเดิมในเขตอุทยานฯ ตะรุเตา ได้สำรวจการครอบครองพื้นที่ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ ตามมาตรา 64 แห่งพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2562
จากการตรวจสอบ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา กรมที่ดินได้ชี้ยืนยันแนวเขต น.ส.3 เลขที่ 11 ร่วมกับกรมอุทยานฯ พบว่ามีรีสอร์ต เข้าทำประโยชน์นอกพื้นที่ น.ส.3 เลขที่ 11 จำนวน 2 แห่ง
นอกจากนี้ ได้ตรวจยึดสระน้ำของรีสอร์ตที่มีการก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง จากที่ได้ดำเนินคดี รวม 3 คดี พื้นที่ 5 ไร่เศษ ส่วนชุมชนชาวเลที่อาศัยอยู่นอกพื้นที่ น.ส.3 เลขที่ 11 ให้กรมอุทยานฯ ดำเนินการสำรวจตามมาตรา 64 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 แต่หากพบว่าเป็นนายทุนครอบครอง กรม อุทยานฯ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
เล็งบังคับคดีนายทุนรื้อถอนรุกเกาะ
สำหรับแปลงคดีอาญา ที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว กรมบังคับคดี จะลงพื้นที่ร่วมกับกรมอุทยานฯ บังคับคดีเพื่อรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากบริเวณพื้นที่อุทยานฯ ตามคำสั่งศาลต่อไป
คณะกรรมการฯ ให้กรมอุทยานฯ รวบรวมเอกสารเกี่ยวกับคดี คำพิพากษา และข้อมูลที่เกี่ยวข้องส่งให้ DSI เพื่อดำเนินการยกเลิกเพิกถอนเอกสารแปลง ส.ค.1 และ น.ส.3 ที่ออกโดยมิชอบ
รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า การสืบสวนของ DSI นั้น กรมอุทยานฯ ได้ขอความร่วมมือผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเกาะหลีเป๊ะ ให้สำรวจจำนวนโรงแรมที่ตั้งบนเกาะหลีเป๊ะทุกแห่งที่มีการดำเนินการอย่างถูกต้องหรือไม่
อย่างไรก็ตาม จากผลการแปลภาพถ่ายโดย DSI พบว่าแปลงที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 11 มีพื้นที่บางส่วนไม่มีร่องรอยการทำประโยชน์ ทางกรมอุทยานฯ จะนำหลักฐานทั้งหมดมาพิจารณาดำเนินการแจ้งความในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ด้านนายอรรถพล เจริษชันษา รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานฯ ให้สัมภาษณ์ว่า การแก้ปัญหาบนเกาะหลีเป๊ะ ของกลุ่มชาวเลอุรักลาโว๊ย คณะกรรมการฯ จะมองในทุกมิติ การเข้ามาอาศัย การทำโยชน์ และการออกเอกสารสิทธิของกลุ่มทุนโดยมิชอบ ทุกอย่างจะได้รับความเป็นธรรมในการตรวจสอบ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง