แทนไทแจงดีเอสไอเส้นเงิน 200 ล้านบาท โยง "นอท กองสลากพลัส" เงินให้กู้ยืม ไม่ใช่ฟอกเงิน
นายแทนไท หรือ "แทนไท" ณรงค์กูล วัย 27 ปี เคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีเว็บพนันออนไลน์ เมื่อปี 2563 คดีนี้ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐาน สั่งฟ้องผู้ต้องหา แต่ท้ายที่สุดอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ทำให้คดีถึงที่สุด และแทนไทพ้นผิด
กว่า 2 ปี ที่แทนไทเงียบหายไป เขาบอกว่า ไปศึกษาต่อและทำเงินในตลาดเงินสกุลดิจิทัล และกลับมาปรากฏเป็นข่าวอีกครั้ง จากการเข้าร่วมประมูลป้ายทะเบียน 45 ล้านบาท และเป็นผู้ชนะ
การเคลื่อนไหวใช้เงินเป็นฟ่อนในครั้งนั้น ถูกสังคมจับตาและจับผิดที่มาของเงิน ซึ่งแทนไท ยืนยันว่า เงินดังกล่าวได้มาถูกต้องจากการลงทุนในตลาดเงินดิจิทัล
ผ่าขุมทรัพย์ 900 ล้านบริษัทไททันฯ
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจทางการค้า เปิดเผยว่า แทนไทย มีรายชื่อเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ประกอบธุรกิจด้านการลงทุน บริษัทฯ จดทะเบียนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ทุนจดทะเบียน 900 ล้านบาท
บริษัทดังกล่าวเป็นธุรกิจที่ประกอบกิจการ ด้านการลงทุนในกิจการอื่น ซึ่งปัจจุบันบริษัท ไททัน ฯ เข้าลงทุนในหลายบริษัท เช่น บริษัท จัสท์ คาร์ จำกัด เป็นธุรกิจการซื้อขายรถยนต์มือสองทุกชนิด โดยมีทุนจดทะเบียนในบริษัทถึง 38 ล้านบาท ก่อตั้งเมื่อปี 2561 และแทนไท มีตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัท
บริษัท เนรมิตร หนังฟิล์ม จำกัด ธุรกิจจัดสร้างและจัดจำหน่ายภาพยนตร์โรงภาพยนตร์และโรงมหรสพอื่น โดยมีทุนจดทะเบียน 115 ล้านบาทจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2564 มี "แทนไท" เป็นกรรมการอีกเช่นกัน
นอกจากนี้ แทนไท ยังสนใจในกลุ่มธุรกิจจำหน่ายของใช้แล้วหรือของเก่าด้วย โดยลงทุนในบริษัท วงษ์พาณิชย์รีไซเคิล ระยอง จำกัด ซึ่งบริษัทนี้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2551 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ไม่พบชื่อนั่งกรรมการ
ขณะเดียวกันบริษัทไททันฯ พบรายชื่อ "น.ส.วนัชพร กิจลำมี" แฟนสาวของนายแทนไท ร่วมบริหาร โดยเป็นกรรมการลำดับที่ 2 ส่วนนายแทนไท อยู่ลำ ดับที่ 1 และผู้ที่มีอำนาจลงนามลงชื่อผูกพันมีเพียง 2 คนนี้เท่านั้น แม้ว่า จะปรากฏว่า มีผู้อื่นร่วมหุ้นในบริษัทฯ ด้วยก็ตาม
พิรุธเส้นเงิน "แทนไท" โยง "นอท" คดีฟอกเงิน
วันที่ 17 ก.พ.66 ปรากฏข่าว ดีเอสไอออกหมายเรียกให้แทนไท เข้าชี้แจงเส้นทางธุรกรรมการเงินประมาณ 200 ล้านบาท ที่รับโอนจากบัญชีของนายพันธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท- กองสลากพลัส
หลังพบว่า มีการโอนเงินจาก บัญชีของนอท เข้าไปยังบัญชี แทนไท โดยเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีธนาคารของนอท ด้วยการฝากเงินผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร จากนั้นเงินก้อนนี้ถูกโอนยังบัญชีธนาคารของนายแทนไท
จึงเป็นข้อพิรุธว่า การกระทำดังกล่าว คือ การปิดบังอำพรางแหล่งที่มาของเงินหรือไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ บุคคลทั้งสองร่วมกันสร้างเส้นทางการเงินขึ้นมา จึงเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอต้องออกหมายเรียกครั้งที่ 1 เพื่อให้นายแทนไทมาชี้แจง
โดยเฉพาะปมพิรุธว่าเหตุใด "นอท" จึงไม่โอนเงินเข้าบัญชีแทนไท ตั้งแต่ครั้งแรก แต่กลับเอาเงินเข้าบัญชีตัวเองก่อน แล้วจึงโอนออกไปอีกทอดหนึ่ง
อย่างไรก็ตามจากการรวบรวมพยานหลักฐานมาอย่างต่อเนื่อง พนักงานสอบ สวนพบข้อมูลว่า ทั้งคู่มีการลงทุนทำธุรกิจร่วมกันมานาน หลักฐานสำคัญคือ สัญญาการร่วมทุนจำหน่าย สลากล็อต เตอรี่ออนไลน์ แต่กลับไม่เคยพบเส้นเงินจากนายแทนไท เข้าไปหา นอท ซึ่งหากเป็นการร่วมลงทุนปกติ ก็น่าจะพบเงินจากนายแทนไทเข้าไปที่นอทบ้าง
ยังพบเหตุผิดปกติอีกว่า ก่อนหน้าที่นอทจะถูกดีเอสไออายัดบัญชีเพียง 2 วันพบว่านอทได้มีการโอนเงินจากบัญชีตัวเอง เข้าไปที่บัญชีของนายแทนไท
อ้าง 200 ล้านเงินยืม "นอท" โอนใช้คืน
27 ก.พ.2566 แทนไทเข้าพบพนักงานสอบสวน ศูนย์คดียาเสพติด ดีเอสไอ ในฐานะพยาน เพื่อชี้แจงเส้นทางการเงินตามหมายเรียก นายแทนไท ชี้แจงว่า มาตามหมายเรียกในฐานะพยาน และยืนยันว่า ไม่มีเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินที่นอท กองสลากพลัส ถูกกล่าวหา และเงินที่นอทโอนให้เป็นเงินกู้ยืม
ผมเป็นนักลงทุนมองหาโอกาสทางธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัท ไททัน แคปปิตอลฯ มีสัญญาให้บริษัท ลอตเตอรี่ออน ไลน์ จำกัด กู้ยืมเงินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นอกจากนี้แทนไท ได้นำหลักฐานการให้กู้ยืมเงิน เป็นแคชเชียร์เช็ค 2 ฉบับ มี 150 ล้าน หนึ่งฉบับ และอีกหนึ่งฉบับ คือ 50 ล้านบาท ซึ่งนำเงินจากบัญชี บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ไปซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายให้ กับบริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด
รวมถึงมีเอกสารการบอกเลิกสัญญากับ บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด เนื่องจากสัญญาเงินกู้มีข้อความระบุชัดเจน ในเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญาว่า
ด้วยปรากฏสถานการณ์ข่าวในเชิงลบต่อผู้กู้ จนเป็นเหตุให้ผู้กู้ประสบปัญหาในการประกอบกิจ การ ทำให้ไม่สามารถหารายได้เพียงพอต่อการชำระค่าดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ได้ตามสัญญา ผู้ให้กู้จึงประสงค์เลิกสัญญา
แทนไทยยืนยันว่า เงินที่ บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด โอนคืนกลับมาให้ กับบริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในวันที่ 30 มกราคม 2566 จำนวน 100 รายการ รายการละ 2 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 200 ล้านบาท
โดยยืนยันว่า เงินจำนวนนี้ คือเงินต้นที่ให้กู้ยืมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา หรือธุรกิจที่ผิดกฎหมายและการฟอกเงิน
นายแทนไทย ย้ำว่า หากมีการกล่าวหาโดยปราศจากข้อเท็จจริง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและสังคมเกิดความเข้าใจผิด รวมถึงทำให้ธุรกิจได้รับความเสียหาย จะพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่ง
สามารถทำได้ เพื่อปกป้อง รักษาสิทธิ์ของตัวเอง
เป็นข้อเท็จจริงของทั้งสองฝั่งจาก "แทนไท" และ "นอท" ซึ่งดีเอสไอจะต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยถึงที่มา ที่ไปของเงินก้อนนี้
รายงานโดย: กิตติพร บุญอุ้ม