วันนี้ (23 พ.ค.2566) คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลแห่งยุโรป ออกแถลงการณ์ระบุว่า การลงโทษปรับเงิน บริษัท เมตา ผู้ให้บริการเฟซบุ๊ก จำนวน 1,200 ล้านยูโร หรือประมาณ 44,000 ล้านบาท มาจากความผิดฐานละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของสหภาพยุโรป ด้วยการโยกย้ายข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กในยุโรปไปยังเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลของไอร์แลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของสหภาพยุโรป (อียู) ตรวจสอบการทำงานของเฟซบุ๊ก และพบว่าการใช้งานกับการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในสหรัฐฯ ฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของยุโรป
ในขณะที่ประธานคณะกรรมคุ้มครองข้อมูลแห่งยุโรป ระบุว่า การฝ่าฝืนของเฟซบุ๊กเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เนื่องจากเป็นการส่งข้อมูลอย่างเป็นระบบเกิดขึ้นซ้ำ ๆ และต่อเนื่อง โดยเฟซบุ๊กมีผู้ใช้งานหลายล้านคนในยุโรป ดังนั้น ปริมาณข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกถ่ายโอน จึงมีจำนวนมหาศาล การสั่งปรับมูลค่ามหาศาล จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปถึงองค์กรต่าง ๆ ว่าการฝ่าฝืนกฎหมายที่ร้ายแรงจะมีผลกระทบรุนแรงตามมา
ทั้งนี้ ค่าปรับดังกล่าวนับเป็นค่าปรับจำนวนมากที่สุดที่เคยเกิดขึ้นภายใต้กฎหมายความเป็นส่วนตัวของยุโรป ทำลายสถิติเดิมเมื่อปี 2021 ที่บริษัทแอมะซอน เคยถูกปรับ 746 ล้านยูโร หรือประมาณ 27,000 ล้านบาท
นอกจากนั้น บริษัท เมตา ยังได้รับคำสั่งให้ยุติการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชาวยุโรปในสหรัฐฯ ภายใน 6 เดือน
ด้านบริษัท เมตา ระบุว่าพวกเขาจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินรวมถึงคำสั่งปรับเงิน อ้างเหตุผลว่าต้นตอของปัญหานี้เกิดจากความขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างกฎการเข้าถึงข้อมูลของสหรัฐฯกับสิทธิความเป็นส่วนตัวของยุโรป ฝ่ายนิติบัญญัติของสหภาพยุโรปกับสหรัฐฯ ซึ่งกำลังอยู่บนเส้นทางที่ชัดเจนในการแก้ไขความขัดแย้งนี้ ภายใต้กรอบร่างกฎหมายความเป็นส่วนตัวทางข้อมูลข้ามแอตแลนติก
หากร่างกฎหมายดังกล่าวแล้วเสร็จจะช่วยยุติปัญหาความขัดแย้งในลักษณะนี้ ระหว่างบริษัทของสหรัฐกับยุโรป ที่เริ่มมีคดีความฟ้องร้องกันมาตั้งแต่ 3 ปีก่อน และจะกลายเป็นบรรทัดฐานในคดีที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนข้อมูลผู้ใช้งานในยุโรปไปยังประเทศที่สามหรือองค์กรต่างชาติ ทั้งนี้ เมตายืนยันว่าคำสั่งดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำเนินงานของเฟซบุ๊กในยุโรป ณ เวลานี้