วันนี้ (11 ก.ย.2566) รายงานข่าวจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคง ในทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจจะแต่งตั้ง พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เตรียมทหารรุ่น 24 นรต.40 จากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เป็น เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) คนใหม่ แทน พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม ซึ่งจะเกษียณอายุราชการ ปลายเดือน ก.ย.นี้
แม้ว่าก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า ทางกองทัพเตรียมจะเสนอชื่อ พล.อ.นักรบ บุญบัวทอง จาก เตรียมทหาร 24 มาเป็นแคนติเดต เลขาธิการ สมช. ซึ่งคนนี้ มีประวัติการทำงานด้านความมั่นคง ในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) มาโดยตลอด
ขณะที่ ที่ผ่านมาในวงการตำรวจมีการคาดการณ์ว่า ตำแหน่ง “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” หรือ “ผบ.ตร.” คนที่ 14 ที่จะเข้ามาแตะมือต่อจาก “ บิ๊กเด่น” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ซึ่งจะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 ก.ย.2566 คือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.
แต่พอการเมืองอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน การแต่งตั้ง “นายพลสีกากี” ทั้งตำแหน่ง ผบ.ตร.และ รอง ผบ.ตร. ลงมาถึง ผบก.วาระประจำปี มีอันสะดุด
ตามมาด้วยแรงกระเพื่อม ในการเรียกร้องแนวทางการแต่งตั้งต้องคำนึงถึง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ตามหมวด 1 การจัดระเบียบราชการข้าราชการตำรวจ มาตรา 60 การจัดระเบียบข้าราชการตำรวจตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คำนึงถึงระบบคุณธรรม โดยเฉพาะ (3) การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่น แก่ข้าราชการ
ตำรวจ ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรม
โดยพิจารณาจากอาวุโส ผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติ ประกอบกัน และจะนำความคิดเห็นทางการเมือง หรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้
กระแสการคำนึงถึงระบบคุณธรรม ด้วยการยึดหลัก "อาวุโส" จึงดังกระหึ่ม!
การแต่งตั้ง “ผบ.ตร.” จึงต้องยื้อ จึงต้องขยับออกไป เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง เป็นไปตามกฎหมาย
ตำแหน่ง ผบ.ตร. จึงถูกจับตามอง และคนในวงการสีกากีเองก็เรียกได้ว่าลุ้นระทึกไปด้วย
ยิ่งเมื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยืนยันถึงแนวทางการคัดเลือก ผบ.ตร. ต้องพิจารณาทั้ง “อาวุโส” ควบคู่ไปกับ “ผลงาน” ก็ชัดเจนว่า “รอง ผบ.ตร.” ที่จะขยับขึ้น “ผบ.ตร.” ต้องมีคุณสมบัติทั้ง “อาวุโส” และ “ผลงาน” ควบคู่กัน
ประเด็นนี้ ร้อนถึง “บิ๊กเด่น” ถึงกับต้องมีคำสั่งให้ รอง ผบ.ตร. ทั้ง 4 คน ทำหนังสืออธิบายผลงาน และแนวทางการทำงานของตัวเองคนละ 4 หน้ากระดาษ เพื่อส่งให้นายกฯ พิจารณา
แต่เรื่องนี้ก็สะดุด เพราะคำสั่งออกช่วงเช้า พอถึงช่วงบ่ายวันเดียวกัน ก็มีหนังสืออีกฉบับออกมายกเลิก ทำให้ทั้ง รอง ผบ.ตร. คนรับหนังสือ และสื่อมวลชน ตั้งข้อสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อ รอง ผบ.ตร.อาวุโสลำดับ 1 แล้ว หลุดออกจากระบบ แคนดิเดต ผบ.ตร. ก็จะเหลืออยู่ 3 คน คือ
“บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นรต.47 เกษียณปี 2574
“บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. นรต.41 เกษียณปี 2569
“บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เกษียณปี 2567
หากต้องพิจารณา อาวุโส ความรู้ความสามารถ และความเหมาะสม จาก 3 แคนดิเดต
ด้วยเงื่อนไข “อายุราชการ” จาก 3 แคนดิเดต ก็ดูเหมือน “บิ๊กต่อ” จะมีภาษีดีกว่าคนอื่น เพราะเหลืออายุราชการอีกเพียงปีเดียว ก็ดูจะเหมาะสมไม่กระทบการเติบโตของตำรวจ คนอื่น ๆ มากนัก
หากไม่มีอะไร ผิดไปจากนี้ หลังนายเศรษฐากลับมาจากการประชุมอาเซียน ในวันที่ 23 ก.ย. นี้ การประชุม กตร. นัดแรก ของนายกรัฐมนตรี ก็คือการเคาะตำแหน่ง ผบ.ตร. คนที่ 14 ซึ่งก็ไม่น่ามีอะไร มาพลิกชื่อ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” หรือ “บิ๊กต่อ” ไปได้
เรียบเรียง : ดนิตา ศรีสุวรรณ บรรณาธิการข่าวอาชญากรรม ไทยพีบีเอส
อ่านข่าวอื่นๆ
คุมตัว 6 ตำรวจ ขอศาลฝากขัง-ค้านประกัน เอี่ยวช่วย "กำนันนก" หลบหนี
วันแรก! "เศรษฐา" ถือฤกษ์ 07.59 น.เข้าสภาฯแถลงนโยบายรัฐบาล
วิกฤต! แม่ฮ่องสอน เร่งช่วย 3,000 ครอบครัวเจอน้ำป่า-ดินถล่ม