วันนี้ (19 ก.ย.2566) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมฯ แถลงนโยบาย “พม. พอใจ : ให้ทุกวัยพึงใจใน พม.” โดยมี ผู้บริหารกระทรวงพม. คณะที่ปรึกษา ร่วมรับฟัง
นายวราวุธ กล่าวตอนหนึ่งว่า การขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หัวใจสำคัญในการทำงานมีอยู่ 3 ข้อ 1.การทำงานตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ทำให้เงินภาษีของประชาชนเกิดประโยชน์ที่สุด โดยตนจะไม่ยอมรับกับการคอร์รัปชั่น และการทุจริตใดๆ ทั้งสิ้น 2.สนับสนุน แก้ไขปัญหาอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่
3.การทำงานต้องมีความแม่นยำ รวดเร็ว และสร้างความเปลี่ยนแปลง โดยนำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ และคิดนอกกรอบมาเปลี่ยนจากกระทรวงที่ถูกมองเป็นกระทรวงสังคมสงเคราะห์ กระทรวงเกรดต่ำ ให้เป็นกระทรวงที่ดึงศักยภาพคนทุกกลุ่ม ให้เป็นทรัพยากรบุคคล เป็นต้นทุนของสังคมไทย
ดูแลให้กลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals–SDGs) ซึ่งมีอยู่ 17 ข้อ ซึ่งมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานของพม.ถึง 8 ข้อ
นายวราวุธ กล่าวว่า ทั้งนี้เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ จะมีการปรับปรุงกฎหมาย 3 ฉบับ คือ 1.พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ที่ให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเด็กเล็กมากขึ้น 2.พ.ร.บ คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว เพื่อลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทย
3.พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ทั้งในส่วนของการบริหารและการจัดการกองทุนให้มีความเข้มแข็งใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดนั้นต้องส่งเสริมให้เด็ก 0-6 ขวบกว่า 4 ล้านคน เข้าถึงสิทธิ์นี้อย่างครอบคลุม
นายวราวุธ กล่าวว่า นอกจากนี้ต้องยกระดับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ให้โตมาอย่างมีคุณภาพ ผู้ดูแลต้องมีศักยภาพในการทำให้ช่วง 3 ปีแรกของชีวิตมีการพัฒนาเซลล์สมองให้มากที่สุด ส่วนกลุ่มเยาวชน ต้องเปิดพื้นที่ให้สามารถค้นหาตัวตน
สร้างกลไกครอบครัวอุปถัมภ์ ที่แข็งแรงสามรถแก้ปัญหาให้กับเด็กกลุ่มเปราะบางได้ โดยเฉพาะเด็กที่หลุดจากระบบ โดยไม่เจาะจงว่าเป็นเคสไหน ครอบครัวอุปถัมภ์ที่จะเข้ามาดูแล หรือคนที่จะมาเป็นผู้ปกครอง ต้องไม่ใช่แค่คนที่ให้ที่นอน ให้อาหารเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจเด็กเปลี่ยนมายเซ็ตของเด็กให้ดีด้วย ทั้งนี้จะมีการจัดทำโครงการศิลปะบำบัดมาใช้ นำร่องในกลุ่มเด็ก 3 จังหวัดชายแดนใต้
นายวราวุธ กล่าวด้วยว่า ส่วนวัยทำงาน จะให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานด้วยการจัดโครงการบ้านตั้งตัว โดยให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ประสานเช่าตึกที่ไม่ได้ใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ มาปรับปรุงเป็นห้องเช่าราคาถูก
และในส่วนของนิคมสร้างตนเอง จะต้องพัฒนาศักยภาพคนในนิคมฯ ให้สามารถยืนบนขาด้วยตนเอง พัฒนาอาชีพสร้างมูลค่า ผ่านโครงการสร้างคุณค่าไทยในครอบครัวและชุมชน ดึงลูกหลานกลับมาสู่ครอบครัวและชุมชนเพื่อสร้างความอบอุ่น ขณะเดียวกันในกลุ่มผู้สูงวัย จะต้องเตรียมวันทำงานให้เป็นผู้สูงอายุแบบมีเงิน และจัดตั้งศูนย์ผู้บริบาลผู้สูงอายุในชุมชน
อ่านข่าวอื่นๆ
นาทีประวัติศาสตร์ ประกาศขี้นทะเบียน "เมืองโบราณศรีเทพ" เป็นมรดกโลก
"อนุทิน" คุย "ชัชชาติ" รับปมสัมปทาน - หนี้ BTS สีเขียว แก้ยาก
ลุ่มน้ำสะแกกรัง สู่ คลองหลอด “ชาดา ไทยเศรษฐ์” มือปราบมาเฟีย