วันนี้ (25 ต.ค.66) นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ สบส.ได้รับการประสานจาก กก.4 บก.ปคบ.ให้ร่วมตรวจสอบสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
โดยสถานปฏิบัติธรรมดังกล่าว มีพฤติกรรมในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์โพสต์รูปภาพ คลิปวิดีโอการรักษาโรค และข้อความอันสื่อให้เข้าใจว่าสามารถรักษาโรคเบาหวาน หรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคมะเร็งให้หายขาดในระยะเวลา 1-3 เดือน
อีกทั้ง มีการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรของสถานปฏิบัติธรรมว่าสามารถรักษา และบรรเทาอาการได้สารพัดโรค
ตนจึงสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกองกฎหมาย สบส.ร่วมสนธิกำลังกับ กก.4 บก.ปคบ. และ อย. เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า สถานปฏิบัติธรรมดังกล่าวมีพระภิกษุ ซึ่งมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ดำเนินการตรวจรักษาโรคแก่ประชาชน โดยใช้วิธีการตรวจรักษาที่มิใช่วิธีการตามหลักวิชาการทางการแพทย์
เช่น การใช้มือสัมผัสตัวและนำหินมาวนบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อวินิจฉัยโรค หรือการใช้เข็มลักษณะคล้ายเข็มเย็บผ้าแทงไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อให้เลือดออกมาจากรอยเจาะ จากนั้นใช้แท่งเหล็กถูวนบริเวณแผลที่มีเลือดออก
ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงแสดงตัวเข้าจับกุมและแจ้งข้อหาการกระทำผิดกับผู้ต้องหา 6 คน ในเบื้องต้น ประกอบด้วย 1) พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต 2) พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานร่วมกันประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต
3) ประมาลกฏหมายอาญา ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาน 4) พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 ฐานร่วมกันขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับ, ร่วมกันโฆษณาผลิตภัณฑ์สมุนไพรหรือคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาต
และร่วมกันโฆษณาผลิตภัณฑ์สมุนไพรในลักษณะโอ้อวดสรรพคุณว่าสามารถบำบัดรักษา บรรเทา หรือป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วยได้อย่างศักดิ์สิทธิ์หรือรักษาโรคให้หายขาดได้ และแสดงสรรพคุณอันเป็นเท็จ เกินความจริง
5) พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ฐานร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา พร้อมกับตรวจยึดของกลาง และพยานหลักฐานอื่น ๆ ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี
ด้าน นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดี สบส.กล่าวว่า สบส.ขอเน้นย้ำกับพี่น้องประชาชนทุกท่านให้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนเลือกรับบริการรักษาพยาบาลทุกประเภท ขอให้เลือกรับบริการจากแพทย์ และสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น อย่าหลงเชื่อการโฆษณาอวดอ้างจากสื่อโซเชียล หรือจากคำบอกเล่าจากบุคคลอื่นว่าสามารถรักษาได้สารพัดโรคเรื้อรังให้หายขาด
โดยเฉพาะการรักษาโรคมะเร็ง, โรคเบาหวาน, โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต, โรคทางจิตเวช, โรคความดันโลหิต, โรคทางสมอง หัวใจและหลอดเลือด และโรคเอดส์ ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าสามารถรักษาอาการของโรคดังกล่าวให้หายขาดได้
หากพบเห็นขอให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง ให้หลีกเลี่ยงการรับบริการ และหากอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็ขอให้แจ้งเบาะแสทมาที่กรม สบส. ทางหมายเลขโทรศัพท์ 02 193 7000 แต่หากอยู่ในส่วนภูมิภาคก็สามารถแจ้งได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ เพื่อดำเนินการตรวจสอบ และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป