ล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย อ้างการสื่อสารคลาดเคลื่อน ยืนยันการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานบันเทิงมีใบอนุญาตถูกต้องใน 4 จังหวัดนำร่องดังกล่าว สามารถขายได้ถึงเวลาตี 4 ได้
หลังจากก่อนหน้านี้ ระบุชัดว่า การขยายเวลาปิดสถานบันเทิง ผับบาร์ถึงตี 4 แต่ไม่ได้ขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปเป็นตี 4 ด้วย ให้เหตุผลว่า นโยบายนี้มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการจ้างแรงงาน และสินค้าอื่นที่ไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควบคู่ไปด้วย
ปรากฏว่ามี “ทัวร์ลง” รอบทิศทาง ทั้งจากเครือข่ายงดเหล้า (สคล.) ที่รณรงค์ให้ประชาชนละละเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มายาวนาน ต่อสู้กับ “แรงผลัก” จากผู้ประกอบการท่องเที่ยวและผู้ผลิต-จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีศักยภาพเหนือกว่าในทุกด้าน
โดยเฉพาะด้านยุทธปัจจัย แสดงท่าทีคัดค้าน แม้แต่กรณีปิดตี 4 และห้ามจำหน่ายตามเวลาเปิดปิดที่กำหนดโดยประกาศคณะปฏิวัติ (ปว.) ฉบับที่ 253
ด้วยเหตุผลสนับสนุน คือวัฒนธรรมการกินดื่มของคนไทยเป็นแบบ “หัวราน้ำ” ต่างจากในต่างประเทศที่กินดื่มอย่างมีการวางแผน ไม่ใช่แบบ “ยาวๆไป” ขนาดร้านขายเหล้าปิด ยังไปต่อกันที่ร้านข้าวต้ม
ขณะเดียวกันยังถูกวิพากษ์อย่างเข้มข้น จากกลุ่มผู้ประกอบการร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจถนนข้าวสาร รวมทั้งสมาคมภัตตาคารไทย ที่ระบุว่า หากให้เปิดสถานบันเทิงได้ถึงตี 4 แต่ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นแก้ว ไม่ใช่สั่งเป็นขวด หรือสั่งตุนไว้ล่วงหน้าเหมือนนักดื่มนักเที่ยวคนไทย
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีปฏิกิริยาในโลกโซเชียลจากคนไทยที่เป็นนักดื่มนักเที่ยวทั่วไป รุมวิจารณ์กันสนั่นด้วยความไม่พอใจ ถึงขั้นถามกลับว่า ใช้สมองส่วนไหนคิด
ยังไม่นับผลสำรวจความเห็นของประชาชนของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้าโพล ได้ข้อสรุปชัดเจนว่า คนส่วนใหญ่ ร้อยละ 41.7 เห็นว่าปิดสถานบันเทิง 02.00 น. หรือตี 2 ดีอยู่แล้ว เพราะไม่ดึกจนเกินไป ไม่รบกวนผู้พักอาศัยที่อยู่ใกล้กับสถานบันเทิง มีเพียงร้อยละ 23.6 ที่เห็นควรปิดสถานบันเทิงตอนตี 4 เฉพาะใน 4 จังหวัดนำร่องเท่านั้น
ขณะที่ความมั่นใจของประชาชน ต่อการขยายเวลาปิดจะช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ปรากฏว่า ที่ตอบค่อนข้างมั่นใจ และไม่ค่อยมั่นใจ มีสัดส่วนร้อยละ 27.7 เท่ากัน และอีกร้อยละ 26.7 ไม่มั่นใจเสียเลย ส่วนที่ตอบว่ามั่นใจมาก มีเพียงร้อยละ 16.52
ส่งผลให้ต้องรีบปรับเปลี่ยนท่าทีและสาระกันแทบไม่ทัน ก่อนจะมี “คณะทัวร์” มากกว่านี้ เพราะยังมีการยอมรับในวงในด้วยว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันเชื่อมโยงถึงประเด็นทางการเมืองด้วย เพราะนโยบายเป็นของพรรคการเมืองหนึ่ง แต่การขับเคลื่อนกลับเป็นของอีกพรรคการเมืองหนึ่ง
ต้องไม่ลืมว่า ธรรมชาติการเมืองไทย ไม่มีใครอยากให้พรรคอื่นกอบโกยผลประโยชน์และชิงคะแนนไปจากตนเอง เพื่อใส่กระเป๋ากักตุนเป็นทุนเอาไว้ล่วงหน้า
เรื่องจึงต้องเอวังลงเอยอย่างที่ควรต้องเป็น ไม่ดันทุรังจนเกินเหตุแล
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา