วันนี้ (17 พ.ย.2566) เสียงเรียกฮือฮาในแวดวงการเมืองและภาคธุรกิจ หลังกระทรวงการคลังและสภาธุรกิจตลาดทุนไทยมีความเห็นตรงกันในการจัดตั้งกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) หรือ TESG เพื่อสนับสนุนคนไทยให้มีการออมระยะยาว และยังได้ประโยชน์เด้งที่ สอง คือ ยังใช้ลดหย่อภาษีได้ 100,000บาท
แต่ไม่วายมีการตั้งข้อสังเกตุว่า อาจเป็นการระดมทุนของรัฐบาลเพื่อนำไปเสริมสภาพคล่อง หลังจากผ่านโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับสภาพคล่องของรัฐบาลหรือการระดมทุนของรัฐบาล เนื่องจากหากจะเสริมสภาพคล่อง รัฐบาลต้องออกพันธบัตร คือ การกู้เงินจากประชาชนจากนักลงทุนที่มาซื้อพันธบัตร แต่ลักษณะของกองทุน TESG ไม่ใช่เช่นนั้น
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ผู้ที่ต้องการออกกองทุนTESG คือ บรรดาบริษัทจัดการกองทุนหรือ บลจ. ซึ่งเป็นเอกชนที่ต้องการให้ตลาดทุน หรือตลาดตราสารหนี้มีความคึกคักและกระตุ้นให้เกิดการซื้อ หรือ การออม สำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี โดยกองทุน TESG ออกเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี
เจตนาของกองทุน คือ ต้องการให้คนออมเงินระยะยาวบวกกับต้องการพัฒนาตลาดทุนให้มีนักลงทุนสถาบันมากขึ้นเข้ามาถือหุ้นหรือตราสารหนี้ระยะยาวจึงออกแบบมาเป็นกองทุนลดหย่อนภาษี
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า หากย้อนกลับไปในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก็มีกองทุน RMF และ LTF ซึ่ง RMF คือ กองทุนที่หากจะขายได้ก็ต่อเมื่ออายุครบ 55 ปี มีเจตนาออกแบบให้คนที่เกษียณอายุ ที่ต้องถือยาวมาก ส่วน LTF มุ่งไปที่ตลาดทุน หรือตลาดหุ้น เดิมให้ถือ 5 ปี ตอนหลังรัฐบาลประยุทธ์ ขยายให้ถือ 7 ปี
แต่กองทุนTESG ระยะเวลาการถือครอง 8 ปี ซึ่งเดิมฝ่ายเอกชน/ตลาดทุน เสนอถือครอง 7 ปีและขอลดหย่อนภาษีได้ 300,000 บาท แต่กระทรวงการคลังให้ 8 ปี ลดหย่อนภาษีได้ 100,000 บาท เพราะกระทรวงคลังมีหน้าที่ดูรายได้การจัดเก็บภาษีเข้ารัฐหากให้ลดหย่อนมากรายได้เข้ารัฐก็จะลดลงซึ่งต้องทำให้สมดุลกัน
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า การจัดตั้งกองทุนTESG มีนักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาบางคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เนื่องจากผู้ที่เป็นนักลงทุนหรือมีรายได้สูง กลุ่มนี้มีการลดหย่อนภาษีมากอยู่แล้ว ดังนั้นกองทุน TESG เหมือนมาเพิ่มการลดหย่อนภาษีให้เท่านั้น ซึ่งข้อดี คือ กองทุนพวกนี้ ทำให้ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ คึกคักและบูม เพราะเป็นการลงทุนยะยาว และเป็นเม็ดเงินที่ใหญ่ เพราะว่า คนที่ซื้อกองทุน คือคนมีเงิน มีรายได้สูงและซื้อเพื่อลดหย่อยภาษี
TESG เป็นกองทุนแนวเดียวกับ LTFและ RMF แต่เนื่องจาก LTF ถูกยกเลิกไปตั้งแต่สมัยรัฐบาลประยุทธ์ จึงทำกองทุนใหม่ขึ้นมาเริ่มโดยเอกชนไม่ใช่รัฐบาล เพราะเห็นว่าตลาดทุนมันตกทุกวัน ขณะเดียวกันตลาดตราสารหนี้ก็สร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุน เพราะมีกรณีของ JKN หรือ STARK ที่ออกหุ้นกู้แล้วไม่จ่ายเงินซึ่งสร้างความไม่เชื่อมั่นให้ตลาดเงินทุนไทย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ชวนคนไทยออม ชงตั้งกองทุน TESG คลังเสนอ ครม.21พ.ย.
ดังนั้นกองทุน TESG นี้ก็ถูกเสนอโดยคนที่อยู่ในตลาดทุน ที่อยากให้มีกองทุนมาแทน LTF แต่จริง ๆ สมัยรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เคยมีกองSSF กองทุนรวมเพื่อการออม ซึ่งเป็นกองทุนที่รัฐบาลอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวให้กับประชาชน และยังให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท แต่กองทุนนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
ที่SSF ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะให้ถือยาวเกินไป 10ปี และไปนับรวมกับ RMF คือ หักลดหย่อนภาษีได้แค่ 500,000 บาท ต่างจากTESG ที่เมื่อซื้อ RMF ลดภาษีได้ 500,000 บาท ถ้าซื้อTESG ลดภาษีอีก100,000บาท รวมเป็น 600,000บาท
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายของ กองทุน TESG จะเป็นคนที่มีรายได้กลางบวกขึ้นไปสูง เพราะว่าคนกลางธรรมดาก็จะซื้อแค่RMFเพียงพอแล้ว เพราะฐานรายได้ไม่ถึงปีละ5-6ล้านบาท ซึ่งถ้าฐานรายได้ 2-3 ล้าน การซื้อแค่ RMFก็พอแล้ว สำหรับการลดหย่อยภาษี
หลังจากมีข่าวตั้งกองทุนTESG ช่วยให้ตลาดทุนคึกคัก เพราะเป็นมาตรการที่ฉับไว คิดปุบดำเนินการได้เลย แต่ที่สุดแล้วการที่ประชาชนมาซื้อกองทุนจะกลายเป็นว่าการลงทุนระยะยาวโดยปริยาย เพราะว่าเงินของคุณจะถูกล็อกเงินไว้อย่างน้อย 8ปี ยกเว้นคนร้อนเงินมาก ๆ ก็ขายทิ้งแต่ก็ไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งมีผลลดหย่อยภาษีในปี2566 ถ้าปีหน้าอยากลดหย่อน ก็ซื้อเพิ่ม ส่วนจะยั่งยืนก็ต้องดูระยะยาว
ปธ.หอการค้าหนุนตั้ง
ขณะที่นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดตั้งกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) หรือ TESG มีเป้าหมายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ที่เป็น ESG และการลงทุนในตราสารหนี้ที่ สอดคล้องกับแนวทางของหอการค้าไทยที่เน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการไทย รายใหญ่และ Supply Chain ตลอดจน SMEs เร่งปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดรับกับ ESG เพื่อสร้างความเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
เชื่อว่าประชาชนจะได้ประโยชน์จากการลงทุนในกองทุน TESG เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษี และขยายวงเงินเพิ่มผ่านกองทุน TESG อีก 100,000 บาท นอกจากจากสิทธิลดหย่อนภาษีในกองทุนปัจจุบัน อย่างกองทุน SSF, กองทุน RMF, กองทุน LTF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุน กบข., กองทุนการออมแห่งชาติ รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท รวมเป็น 600,000 บาท
คาดว่ากองทุนดังกล่าวจะเริ่มเปิดให้ประชาชนลงทุนได้ในเดือนธ.ค.66 และลดหย่อนภาษีได้ในเดือนมี.ค.67 โดยมีการประมาณการว่ากองทุน TESG จะกระตุ้นให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท
หอการค้าฯเชื่อว่ากองทุน TESG กระตุ้นให้ภาคธุรกิจเกิดความสนใจที่จะปรับตัวเข้าสู่ ESG เพิ่มมากยิ่งขึ้น และช่วยยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจ ทำตามกฎกติกาการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อม (CBAM)เพิ่มโอกาสและขีดความสามารถของภาคธุรกิจไทย และสร้างวินัยทางการเงินให้ประชาชนมีเงินออมระยะยาว
อ่านข่าวอื่นๆ:
“e-Refund” ปลอบใจคนช้ำ ชวดเงินดิจิทัล 10,000 บาท
"เอลนีโญ" พ่นพิษ "ฝนแล้ง-น้ำลด " กระทบพืชผลเกษตร
นักวิเคราะห์ชี้ "ตลาดทุนผันผวน" เหตุกังวลนโยบายแจกเงินดิจิทัล