กัลยาณิวัฒนา ดินแดนในฝัน ป่าสนพันปี ประเพณีวัฒนธรรม บริสุทธิ์ ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สามัคคี สมานฉันท์
(คำขวัญประจำอำเภอ กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่)
ความเป็น "กัลยาณิวัฒนา" อำเภอที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง จ.เชียงใหม่ ถูกสะท้อนผ่านคำขวัญประจำอำเภอ แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่มีทั้งเทือกเขาสูงรายล้อม บรรยากาศเงียบสงบ เป็นพื้นที่ที่มีอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี รวมถึงไปวิถีชีวิตผู้คนที่มีความหลากหลายของวัฒนธรรมชนเผ่าแบบดั้งเดิม ทั้ง กะเหรี่ยง ม้ง ลีซอ ซึ่งเป็นการผสมผสาน กันได้อย่างกลมกลืน
ด้วยเสน่ห์ของ "อ.กัลยาณิวัฒนา" ทั้งบรรยากาศ ธรรมชาติ และวิถีชาวบ้าน ทำให้อำเภอแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ของ จ.เชียงใหม่ น่าสนใจหลายคนอยากมาสัมผัสที่นี่สักครั้ง วันนี้ไปทำความรู้จักพื้นที่แห่งนี้ให้มากขึ้น
อ่านข่าว : ชวนนั่งรถม้าชมโบราณสถานยามค่ำคืน “แอ่วกุมกามยามแลง” เชียงใหม่
ที่มาของ "อ.กัลยาณิวัฒนา" อำเภอที่ 25 ของเชียงใหม่
อ.กัลยาณิวัฒนา แม้จะมีระยะห่างจากตัวเมืองประมาณ 141 กิโลเมตร แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง เพราะเส้นทางที่คดเคี้ยวและสูงชัน ทิศเหนือติดต่อกับ อยู่ติดกับ อ.ปาย ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่ง ของ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งอยู่ห่างกันเพียง 50 กิโลเมตร (ถนนสายกัลยาณิวัฒนา-ปาย)
อ.กัลยาณิวัฒนา ประกอบด้วย 3 ตำบล คือ บ้านจันทร์ แม่แดด และแจ่มหลวง ปัจจุบันมีประชาชน 12,949 คน แต่ก่อนที่จะมาเป็น อ.กัลยาณิวัฒนา นั้นมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไรไปหาคำตอบกัน
กว่า 16 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2536 ที่ชาวบ้านขอแยกตัวจัดตั้งเป็นอำเภอ แต่ด้วยคุณสมบัติบางประการไม่สอดคล้องตามหลักจัดตั้งอำเภอของกระทรวงมหาดไทย เช่น ต้องเป็นกิ่งอำเภอไม่น้อยกว่า 5 ปี (ซึ่งที่นี่ไม่เคยเป็นกิ่งอำเภอ) ต้องมีราษฎรไม่น้อยกว่า 35,000 คน
ย้อนกลับไปในอดีต ด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนที่สูง การเดินทางไปขอรับบริการต่าง ๆ จากหน่วยงานรัฐเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งยังมีปัญหาเรื่องยาเสพติด การลักลอบตัดไม้อยู่บ่อยครั้ง ประกอบกับเป็นที่ตั้งของโครงการหลวงหลายโครงการ คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบให้แยกพื้นที่ของ ต.บ้านจันทร์ ต.แจ่มหลวง และ ต.แม่แดด ออกมาตั้งเป็น "อ.วัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ" เป็นกรณีพิเศษ
ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานชื่ออำเภอว่า "อ.กัลยาณิวัฒนา" เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเคยทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจในพื้นที่ ต.บ้านจันทร์
พระราชกฤษฎีกาตั้ง อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.พ.ศ. 2552 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.พ.ศ. 2552 กลายเป็นอำเภอ 25 ของ จ.เชียงใหม่ และเป็นอำเภออันดับที่ 878 ของประเทศไทย
อ่านข่าว : เลาะแลนด์มาร์กเมืองย่าโม ประตูสู่อีสาน บ้านเกิด "แอนโทเนีย"
วิถีชุมชนหลากหลาย - พืชเศรษฐกิจสำคัญ
ลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ภูเขาสูงชันล้อมรอบ ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นป่าสน และป่าเบญจพรรณ มีพื้นที่ทั้งหมด 421,612 ไร่ แยกเป็นพื้นที่ป่าสงวน 378,245 ไร่ (คิดเป็น 90%) พื้นที่ทำการเกษตร 30,391 ไร่ (คิดเป็น 7%) พื้นที่อยู่อาศัย และอื่น ๆ 8,062 ไร่ (คิดเป็น 3%) มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,225 มิลลิเมตรต่อปี ฝนตกเฉลี่ย 122 วันต่อปี
อ.กัลยาณิวัฒนา มีพื้นที่ทำการเกษตร 30,391 ไร่ โดยปลูกพืชเศรษฐกิจหลักได้แก่ ข้าว มีพื้นที่ปลูกมากที่สุด เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 2,275 ครัวเรือน, ปลูกข้าวโพด 829 ครัวเรือน, ปลูกกาแฟ 410 ครัวเรือน, ปลูกสตรอเบอรี่ 334 ครัวเรือน, ปลูกอะโวคาโด 397 ครัวเรือน, ปลูกกะหล่ำปลี และอื่น ๆ อีก 517 ครัวเรือน
นอกจากนี้ อ.กัลยาณิวัฒนา มีกลุ่มสถาบันเกษตรกร กลุ่มอาชีพการเกษตร ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานราชการ หลายกลุ่ม กลุ่มอาชีพการเกษตร กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ได้รับการสนับสนุน จากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เช่น วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าปกาเกอะญอ
ไปแอ่ว อ.กัลยาณิวัฒนา เช็กอินที่ไหนดี
"กัลยาณิวัฒนา" หลากหลายไปด้วยเรื่องของธรรมชาติ วิถีชีวิตของผู้คน ใครได้ไปเที่ยวจะได้พบเห็นป่าเขียวขจีตลอดเส้นทาง สร้างความตื่นตา และที่แรกที่จะพาไปคือ พาไปชมป่าสน เคล้าหมอกยามเช้า อีกที่จะได้สูดและสัมผัสบรรยากาศของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
ที่เที่ยวที่ต้องไปเช็กอิน ที่ อ.กัลยาณิวัฒนา ที่นี่มีป่าสนธรรมชาติอันกว้างใหญ่ และนับเป็นป่าสนผืนใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสน่ห์ของที่นี่ คือ ความสวยงามในแต่ละช่วงฤดูกาลที่แตกต่างกัน
อ่านข่าว : กรุงเทพฯ ติดอันดับ 4 เมืองท่องเที่ยวถูกค้นหามากสุดในโลกปี 66
"เที่ยวป่าสน ที่โครงการหลวงวัดจันทร์"
โครงการหลวงวัดจันทร์ มีที่มาจากเมื่อครั้งในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรชาวเขาในเขตหมู่บ้านวัดจันทร์ และทรงทราบถึงความยากลำบากของชาวเขาในพื้นที่ จึงพระราชดำริให้มีการพัฒนาบ้านวัดจันทร์และหมู่บ้านใกล้เคียง และก่อตั้ง "ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์" ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ราษฎรได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
แหล่งท่องไฮไลต์ มีทิวทัศน์ ธรรมชาติสวยงาม ของป่าสนที่ใหญ่ที่สุดในไทย โดยพื้นที่โครงการหลวงวัดจันทร์ ที่คุ้นเคยของนักท่องเที่ยว คือ ที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อปป) อีกจุดคือที่ตั้งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์ ทั้งสองแห่งอยู่ในพื้นที่ดูแลของโครงการหลวงเช่นกัน
ในช่วง "ฤดูหนาว" พื้นที่แห่งนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก ลมเย็น ทิวสน และอ่างเก็บน้ำ ถือเป็นบรรยากาศที่สุดฟินสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ไม่เพียงเท่านั้นหากมาเที่ยวในช่วง "ฤดูฝน" จะได้พบกับบรรยากาศในอีกรูปแบบ คือ ธรรมชาติที่เขียวขจี ไอน้ำท่ามกลางหมอกฝน
และที่น่าสนใจอีอย่าง คือ ใน ช่วงเดือน ธ.ค.- ก.พ. จะเป็นช่วงที่ใบเมเบิ้ลเปลี่ยนสี เติมสีสันสดสวยให้ธรรมชาติไปอีกขั้น นอกจากนี้หากใครยังอยากใช้เวลากับธรรมชาตแบบชิว ๆ ก็สามารถ ดื่มด่ำกับธรรมชาติให้เต็มที่ด้วยการปั่นจักรยาน รวมไปถึง เดินป่าศึกษาธรรมชาติ ได้ด้วย
ป่าสนวัดจันทร์ นับเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวที่สวยงาม เที่ยวได้ตลอดทั้งปี ใครจะจะไปสูดโอโซนให้เต็มปอด ที่นี้อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
อ่านข่าว : ความเชื่อ ศรัทธา "พญานาค" จากกาลสู่ปัจจุบัน
"วัดจันทร์" (วิหารแว่นตาดำ)
เดินทางต่อไปอีกหน่อยไปที่ "วัดจันทร์" ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่ที่ 3 ต.บ้านจันทร์ ศูนย์รวมจิตใจที่สำคัญของคนใน อ.กัลยาณิวัฒนา ส่วนที่ถือเป็นไฮไลท์ โด่นเด่นและแปลกจากวิหารทั่วไป คือ ลักษณะของวิหารเมื่อมองจากด้านหน้าเหมือนสวมแว่นตาดำ
หากย้อนไปดูที่มา วิหารแห่งนี้ช่างชาวปกากะญอ เห็นว่า ประตูด้านหน้าวิหารรวมทั้งจั่ววิหาร ส่วนหนึ่งได้ทำด้วยแผ่นไม้สักปิดบังแสงแดดไว้ จึงมีเจตนาว่าจะเปิดด้านหน้าวิหารบริเวณจั่ววิหารให้แสงแดดเข้ามาข้างในวิหารได้บ้าง จึงเจาะแผ่นไม้บางส่วนของจั่วออกเพื่อจะได้รับแสง
ความตั้งใจของช่างในช่วงแรกจะทำให้เหมือนดวงตา แต่เมื่อทำเสร็จมีลักษณะคล้ายแว่นตาจึงปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น ซึ่งก่อนนั้นไม่ได้นำกระจกมาสวมใส่ แต่เป็นห่วงทรัพย์สินภายในวิหารที่มีพระประธานเป็นพระสิงห์ 3 อายุกว่า 300 ปี จึงมีการนำกระจกกรองแสงสีดำมาติดจนกลายเป็นวิหารที่มีลักษณะเหมือนสวมแว่นตา
ไม่เพียงเท่านั้น อ.กัลยาณิวัฒนา ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ใครอยากเปิดโอกาสให้ตัวเองได้พัก ในพื้นที่ธรรมชาติ เงียบสงบ รวมถึงสัมผัสกับวิถีชุมชนที่มีเสน่ห์มาก ๆ อยากให้ลองไปกันดู