เพื่อเปิดทางให้มีการตรวจสอบข้อขัดแย้งทุกเรื่องและทุกคดี ที่มีการกล่าวโทษกันให้แล้วเสร็จ
แม้จะย้ำว่า ทั้งคู่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และโอนทั้งคู่ไปช่วยราชการชั่วคราว 60 วัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การลงนามในคำสั่งดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งด้านการบริหาร และแคนดิเดท ผบ.ตร.คนใหม่
สำหรับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ น่าจะเหลือโอกาสน้อยมาก หรืออาจเป็นศูนย์ สำหรับการลุ้นถูกเสนอชื่อใน ก.ตร. เพราะเปรียบเสมือนเป็นสินค้ามีตำหนิ โดนกล่าวหาเกี่ยวพันกับทั้งเว็บพนันออนไลน์ เครือข่ายมินนี่ และเว็บพนัน BNK Master ถูกกล่าวโทษจากตำรวจ บก.ปปป.ที่จับเรื่องนี้มาแต่ต้น มีความผิดมาตรา 157 มาตรา 149 และแถมด้วยข้อหาฟอกเงิน
แม้ “บิ๊กโจ๊ก” จะปฏิเสธเสียงแข็งตลอด ขณะที่ทีมทนายความ พยายามตั้งโต๊ะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไร แต่ได้ถูกกล่าวหาโยงใยว่า เกี่ยวข้องไปแล้ว เป็นประเด็นอื้อฉาว และไม่น่าจะเหมาะสมการขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตราบใดที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธ์ผ่านกระบวนการยุติธรรม ที่ได้รับการยอมรับได้
แต่ที่เป็นประโยชน์และเข้าทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คือ คดีที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ถูกทำสำนวนคดีโดยตำรวจชุดที่ถูกมองว่า อยู่คนละฝ่ายแล้ว แต่ ป.ป.ช.จะเป็นผู้ทำสำนวนคดีนี้ เท่ากับวันนี้ (23 มี.ค.) ที่เดิมที ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ส่งหมายเรียกให้ “บิ๊กโจ๊ก” ไปรับทราบข้อกล่าวหาคดีร่วมกันฟอกเงินเว็บพนัน 21 ที่ บก.น.2 ก็ไม่น่าจะมีผล
ถึงแม้เมื่อสำนวนคดีจะอยู่ในมือของ ป.ป.ช. กรอบเวลาในการทำสำนวนคดี ที่มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถูกกล่าวหา และมีรายชื่อคนจำนวนมากในสำนวนคดี ย่อมต้องใช้เวลา กว่าจะมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวน เรียกให้ทั้ง 2 ฝ่าย ชี้แจง แสดงหลักฐาน กว่าจะสรุปสำนวนส่งให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ถึงอย่างไรไม่น่าจะทันลุ้นการถูกเสนอชื่อเป็น ผบ.ตร.ปีนี้แน่นอน ยังไม่นับเรื่องไม่สง่างามเหมาะสม
ขณะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ไม่ได้มีคดีความใด ๆ เกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์ และยังมีตำแหน่งผบ.ตร. แต่โดนคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ด้วยคำชี้แจงในคำสั่ง ว่า ได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ต้องปฏิบัติราชการ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหน้าที่และอำนาจ
แต่กลับไปปรากฏความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายใน สตช. กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทั้งการบริหารงานบุคคล และงานด้านกระบวนการยุติธรรม จนถูกกล่าวหาเป็นเรื่องส่วนตัว
แม้จะยังมีโอกาสกลับ สตช. หรือเกษียณอายุราชการบนตำแหน่ง ผบ.ตร. แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ คือต้องมลทินไปแล้ว และเจ้าตัวดูจะทำใจได้ จากประโยคคำพูดที่ว่า “คนเรามาเพื่อจาก จะกลับหรือไม่กลับ ก็ได้เป็นผบ.ตร.คนที่ 14 แล้ว”
สำหรับนายตำรวจในกลุ่มที่มีโอกาสเป็น ผบ.ตร. เมื่อมีคำสั่งเด้งทั้งคู่ ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ และมีเรื่องต้องเคลียร์ข้อขัดแย้ง ที่ต้องใช้เวลาเป็นปีหรือมากกว่านั้น ทำให้หลายคนยังมีโอกาสได้ลุ้นตำแหน่งเบอร์ 1 ทั้งในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ใจชื้น หรือสมหวังในใจลึกๆ เพราะผบ.ตร.ไม่ใช่ “บิ๊กโจ๊ก”
ไม่ได้หมายความว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะหมดลุ้นกับตำแหน่ง ผบ.ตร. เพราะหาก ป.ป.ช.รับทำสำนวนหรือทำสำนวนคดีเสร็จ ก็ยังมีขั้นตอนตามกระบวนการอีกมาก อาทิ มีมูลหรือไม่ อัยการสั่งฟ้องหรือไม่สั่ง หรือ ป.ป.ช.อาจมีความเห็นต่างกับอัยการ ยื่นฟ้องเอง ขั้นตอนต่าง ๆ ยังสามารถออกได้หลายหน้า
หากเป็นผลบวกต่อ “บิ๊กโจ๊ก” เคลียร์ข้อกล่าวหาในกระบวนการยุติธรรมได้ เท่ากับยังสามารถกลับไปเป็นแคนดิเดทผบ.ตร.ได้ต่อ เพราะจะเกษียณอายุราชการปี 2574 ยังอีกนานหลายปี
แต่ประเด็นสำคัญกว่านั้น คือการตัดสินใจใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด ในฐานะนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา เพราะเป็นที่รับทราบกันวงในว่า แบคอัพหนุนหลังทั้ง “บิ๊กต่อ” และ “บิ๊กโจ๊ก” ล้วนไม่ธรรมดาทั้งคู่
เท่ากับนายเศรษฐาต้องความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และอาจต้องมีเจรจาประสานกับหลายฝ่ายเพื่อให้เรื่องภาพความขัดแย้งยุติลง
หากไม่ “เจ๋ง” จริง รับรองว่าทำแบบนี้ไม่ได้
สะท้อนอำนาจในฐานะนายกฯ ของนายเศรษฐา ว่า ตอนนี้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และเท่ากับในทีว่า ยังอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้อีกยาว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ หรือมีสมการการเมืองอื่นใด อย่างที่กูรูการเมืองบางคนฟันธงไว้
ถือเป็นนายกฯ ตัวจริงในขณะปัจจุบัน อยู่ยาวต่ออีกได้ แม้อาจมีการปรับ ครม. แต่จะปรับเปลี่ยนเฉพาะส่วนรัฐมนตรี แต่หัวขบวนยังจะไม่ถูกแตะต้อง
ตอนนี้ใครจะดูแคลน หรือปรามาส กล่าวหาไม่ใช่นายกฯตัวจริง คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ก่อน
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา
อ่านข่าว : กก.สอบข้อเท็จจริงขัดแย้งใน ตร.ยันทำความจริงให้ปรากฏ ไม่มีมวยล้ม
"บิ๊กต่าย" ย้ำทำหน้าที่ตามคำสั่ง เดินหน้าแก้บ่อน-พนันออนไลน์