ในเชิงข้อเท็จจริง ต้องยอมรับว่า ต้นตอหลักเกิดจากการแย่งชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.และสกัดคู่แข่งไม่ให้ไปถึงปลายทาง สะท้อนให้เห็นชัดเจน ตั้งแต่คอนมานโดพร้อมอาวุธสงครามครบมือ บุกตรวจค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ตั้งแต่ ก.ย.2566 ก่อนประชุม ก.ตร.ให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เคาะผบ.ตร.แค่ 2 วัน
สุดท้ายเมื่อออกที่ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร.อาวุโส อันดับ 4 จุดพลุให้คนที่อาวุโสน้อยกว่า เกิดความหวัง มีโอกาสเบียดแซงหน้าได้
ครั้งนั้น มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ชุดเดียวกับที่เพิ่งลงนามตั้งใหม่ล่าสุด นำโดย “บิ๊กฉิ่ง”นายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธาน พร้อมอดีตรองอัยการ และอดีต ผบช.น. กำหนดกรอบเวลาครั้งแรก 30 วัน แต่จนแล้วจนรอด ไม่มีการเปิดเผยผลสอบว่าเป็นอย่างไร ใครผิดใครถูก และถูกนำไปใช้ประกอบเรื่องปัญหาความขัดแย้งใน สตช. หรือไม่
ในเชิงข้อกฎหมาย ที่มีการกล่าวหา ต้องคดีกันไปมา “บิ๊กโจ๊ก” โดนกล่าวโทษโดยตำรวจว่า เข้าข่ายผิด มาตรา 157 และ 149 แต่เจ้าตัวบอกยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา
และชี้ว่า คดีเว็บพนันเครือข่ายมินนี่ หากมีเม็ดเงินมากกว่า 300 ล้านบาท ต้องไปที่ ป.ป.ช. โดยมีกูรูด้านกฎหมาย ออกมาสนับสนุนว่า เมื่อผู้ถูกกล่าวหาเป็นข้าราชการชั้นผู่ใหญ่ ต้องไปที่ ป.ป.ช. ไม่ใช่ตำรวจ
แต่ต่อมากลับมีหมายเรียก “บิ๊กโจ๊ก” ไปรับทราบข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน อ้างว่าไม่ใช่เว็บพนันเครือข่ายมินนี่ แต่เป็นเว็บพนันบีเอ็นเคมาสเตอร์ คดีนี้ไม่ต้องไป ป.ป.ช. แต่ทีมทนายความ “บิ๊กโจ๊ก” ก็ตั้งโต๊ะแถลงบอกเส้นเงินไปถึงตำรวจอีกฝ่ายร่วม 30 นาย และเกี่ยวโยงกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ทำไมไม่โดนออกหมายบ้าง
ไม่เพียงเท่านั้น หลังโดนนายกฯ เรียกไปคุยที่ทำเนียบรัฐบาล ให้หาทางออก เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น 2 บิ๊ก ร่วมแถลงชัดเจนว่า จะรวมสำนวนคดีเว็บพนันจาก 2 สน.ไปให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ
ส่วนฝ่าย “บิ๊กโจ๊ก” จะถอนฟ้องคดีตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งคดีบุกค้นบ้าน และคดีหมิ่นประมาท พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.
แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กลับปรากฏว่า หมายเรียก รอบที่ 2 ของตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ยังคงถูกส่งไปที่บ้าน “บิ๊กโจ๊ก” จนเจ้าตัวต้องเผ่นออกจากบ้าน และลาราชการแทบไม่ทัน เท่ากับข้อตกลงถูกฉีกทิ้ง ทำให้วลี “ไม่มีสัจจะในหมู่โจร” ต่อไปอาจขยายไปถึงในกลุ่มตำรวจได้
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ให้ยุติหรือจบคดีทันที เพราะเมื่อเป็นคดีสำคัญ เป็นคดีอาญาของแผ่นดินแล้ว ต้องว่ากันตามกฎหมาย เพียงแต่สงสัยว่า แล้วจะต้องกรรมการสอบข้อเท็จจริง ชุดของ “บิ๊กฉิ่ง” อีกทำไม ในเมื่อต้องเดินหน้าต่อตามไทม์ไลน์เดิมอยู่แล้ว
ส่วนในเชิงการเมือง นายกรัฐมนตรีตัดสินใจลงดาบ 2 บิ๊กตำรวจ ให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพื่อสกัดไม่ให้เรื่องข้อขัดแย้งอื้อฉาว กล่าวหากันไปตอบโต้กันมา ไม่ให้ลุกลามบานปลายไปมากกว่าที่เป็นอยู่
หลังจากให้โอกาสมาแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมมีเสียงปรบมือชื่นชม และยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า นายกฯ เศรษฐา มีอำนาจเด็ดขาดในมือ กล้าทำในสิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อว่า นายกฯจะกล้าทำ หรือทำได้ขนาดนี้ เพราะเป็นที่ทราบกันดีในวงในว่า ทั้ง 2 บิ๊กใน สตช. ต่างมีทั้งเอฟซี มีฝ่ายสนับสนุน รวมทั้งมีแบคอัพระดับไม่ธรรมดาทั้งคู่อยู่แล้ว หากนายเศรษฐาไม่แน่จริง ทำไม่ได้ขนาดนี้
เพียงแต่ทั้ง 3 ปัจจัยนี้ ต้องให้น้ำหนักและความสำคัญเท่า ๆ กัน หาไม่แล้ว จะยิ่งเพิ่มข้อสงสัย และไม่อาจขจัดความไม่ธรรมที่นำพาไปสู่ข้อพิพาทรุนแรงที่สะสมมาหลายปีได้
ตรงกันข้ามอาจส่งเสริมความขัดแย้ง แย่งชิงตำแหน่งใหญ่ใน สตช.ให้ดำรงอยู่ต่อไป แค่เปลี่ยนตัวบุคคลจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น ไม่ว่า “บิ๊กโจ๊ก” จะได้มีโอกาสขึ้นเป็นผบ.ตร.หรือไม่ก็ตาม
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา
อ่านข่าว : เปิดตำนาน “พระธาตุบังพวน” ที่พึ่งทางใจ “บิ๊กโจ๊ก”
เปิดใจคุย “ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ใช้หลักธรรมครองตน ก็ครองคนได้
"บิ๊กต่าย" ยัน ตร.มีขั้วเดียว ปัดตอบ "บิ๊กโจ๊ก" ลางานยาวไป ตปท.