สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับ ครม.เศรษฐา 1 / 2 จึงมีความน่าสนใจหลายกรณี นับตั้งแต่
1).ใครเป็นคนผู้มีอำนาจเคาะรายชื่อรัฐมนตรีตัวจริง หลังมีข่าวตั้งแต่เช้าวันก่อนว่านายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน มีนัดกินข้าวเที่ยงกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่โรงแรมโรส ย่านเพลินจิต ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องแจ้งหมายให้ใครรู้ก็ได้
สะท้อนชัดว่าต้องการให้เป็นข่าว และหวังให้รู้ว่าใครมีอำนาจบารมีตัวจริง
2).เมื่อเป็นการปรับใหญ่ จึงมีการวิ่งล็อบบี้ให้เห็นในพรรคเพื่อไทย แม้ไม่ถึงขั้นมีคลื่นใต้น้ำก่อหวอด แต่ทราบดีว่า บางคนอาจไม่ปลื้ม และไม่สามารถวิ่งเข้าหาโดยตรงได้ แต่มีการวิ่งเข้าหาคนอื่น ทั้งนายหญิง นายน้อย นายน้อง และนายเก่าที่อยู่ต่างประเทศ ทั้งที่เป็นข่าวและปิดกันจนแซ่ด ไม่ใช่เฉพาะคนในพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่ยังรวมรัฐมนตรีจากพรรคอื่นก็มี
ขณะที่รัฐมนตรีอย่างน้อย 2-3 คน ขยันกว่าปกติทั้งเรื่องเป็นข่าว และการปฏิบัติภารกิจตรวจเยี่ยมดูความคืบหน้า บางคนโอ่แสดงวิสัยทัศน์แต่ไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้ แต่ไม่ใช่จะกินแห้วทั้งหมด บางคนที่อยู่ในสายแข็ง ก็ยังเหนียวเกาะเก้าอี้อยู่ได้
แต่อาจระยะหนึ่ง เพราะถึงอย่างไร เก้าอี้ดนตรีต่างตอบแทนต้องหมุนเวียนต่อ บางคนอ้างหากไม่มีบ้านใหญ่ในครม. ต่อไปจะสูญพันธุ์ยกจังหวัด แต่รับปากหรือได้ไปต่อ จะได้อยู่นาน และเป็นกลุ่มในรายชื่อที่ไม่ได้มุ่งหวังผลงานการเป็นรัฐมนตรี
3).พรรคที่อยู่ในระเบียบ ไม่แตกแถว ไม่ยื้อแย่งรัฐมนตรีให้คนนอกเห็น คือ พรรคภูมิใจไทยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ย้ำแต่ต้นว่า พรรคจะไม่มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี อีกทั้งนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ทายาทของ “ครูใหญ่” นายเนวิน ชิดชอบ ยังต้องรออีก 2 ปี จึงเป็นรัฐมนตรีได้ เพราะอายุเพิ่ง 33 ปี ไม่ต้องรีบร้อน
4).พรรคร่วมรัฐบาลสายอำนาจเก่า เก้าอี้มีน้อย ยิ่งไม่ลงตัว เช่น พรรคพลังประชารัฐ ที่มี 2 ขั้ว แต่เก้าอี้รัฐมนตรี 1 ตัวที่ยังค้างอยู่ เป็นโควตาของกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ยืนยัน เสนอชื่อนายไผ่ ลิกค์ เป็นแคนดิเดตรัฐมนตรี แต่มีชื่อสำรอง ทั้งนายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา และนายอนันต์ อำนวยผล กลุ่ม สส.กำแพงเพชร
แถมไม่ยังตีข่าว จะขอดูแลกระทรวงเกษตรฯ เบ็ดเสร็จพรรคเดียว ถึงขั้นจะให้รัฐมนตรีช่วยจากพรรคอื่นย้ายออกไป ถือเป็นเรื่องประหลาด เพราะไม่ใช่รัฐมนตรีจากพรรคแกนนำ จะประกาศเองเออเอง เพราะกระทรวงเกษตรฯเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ พรรคไหน ๆ ก็อยากเข้าไปมีเอี่ยวทั้งสิ้น
5).พรรคที่ไม่น่าเป็นปัญหากลับมีปัญหา คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มาจากหลากหลายกลุ่ม แต่ส่วนใหญ่ผิดหวังเพราะได้ส.ส.แค่ 36 คน แม้จะมีข่าวว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต้องอาศัยแรงส่งและเจรจาข้อตกลงกับผู้นำกลุ่มอำนาจเก่า แต่ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ถอยออกไปแล้ว
จึงมีข่าววงใน สส.กลุ่มหนึ่งไม่พอใจนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคถึงขั้นอยากให้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีพลังงาน ที่หัวหน้าพรรคนั่งอยู่ มีชื่อ นายสุพัฒนพงศ์ พันธุ์มีเชาว์ อดีตรัฐมนตรีพลังงาน สมัย พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาสอดแทรก แต่เป็นไปได้ยากเพราะชูดีเอ็นเอของ “บิ๊กตู่” และดัน “บิ๊กตุ๋ย” ไปต่อแทน
แต่ปัญหาจริงในพรรค คือตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ ที่นายอนุชา นาคาศัย ได้ตั๋วพิเศษจองมาตั้งแต่ครม.เศรษฐา 1/1 แต่ครั้งนี้มีชื่อ นายสุชาติ ชมกลิ่น อดีตรัฐมนตรีแรงงาน สายตรง "บิ๊กตู่" อีกคน เข้าไปสอดแทรก ถึงขั้นอ้างว่ากรอกเอกสารเตรียมไว้เรียบร้อย
6).แม้ไม่มีชื่อ "อุ๊งอิ๊ง" น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทายาททางการเมืองนายทักษิณ อยู่ในรายชื่อด้วยเหตุผลขอทำงานพรรคไปก่อนระยหนึ่ง แต่ยังมีบทบาท ทั้งในฐานะประธานบริหารขับเคลื่อน 5 นโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกโรค และรองประธานยุทธศาสตร์ Soft Power ที่ประเดิมจากงานสงกรานต์ระดับโลกไปแล้ว
กระนั้น งบซอฟท์เพาเวอร์ ปี 2567 พบว่า มีกระจายอยู่ใน 11 สาขา 54 โครงการ ในหลายกระทรวง รวมกว่า 5 พันล้านบาท เท่ากับเสริมความโดดเด่นให้กับ “อุ๊งอิ๊ง” ได้ แม้ไม่อยู่ในครม.
ครม.เศรษฐา 1 / 2 อาจยุ่งยากเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงสำหรับการเคาะและเคลียร์ทุกอย่างให้ลงตัว รอเวลา “คนสำคัญ” จะมีอำนาจเต็ม เมื่อครบกำหนดพ้นโทษจริงในเดือนสิงหาคม 2567และเป็นช่วงที่เงินดิจิทัลจะกระจายไปถึงมือประชาชน
วันนั้น อาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าและเซอร์ไพร้ส์ กว่าการปรับครม.ครั้งนี้ก็เป็นได้
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา