หากเป็นมวยต้องเป็นคนละสไตล์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีคลังคนก่อน เป็นมวยบู๊จัดหนัก ใจร้อน ใส่เกียร์เดินเปิดหน้าโล่งเข้าใส่ ให้เห็นดำเห็นแดงกันไปข้าง แบบสไตล์ไฟต์เตอร์
แต่นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีคลังคนใหม่ เป็นมวยจังหวะฝีมือ ตั้งการ์ดสูง ใจเย็น ไม่บุ่มบ่าม ศึกษาคูเหลี่ยมคู่ต่อสู้ ครบเครื่อง รอจังหวะ แบบบ็อกเซอร์
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่นายพิชัยจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัฐบาลกับแบงก์ชาติผ่อนคลายลง เมื่อประกาศภารกิจแรก คือ เพิ่มรายได้ แก้ของแพง แก้หนี้ครัวเรือนที่ขยับสูงกว่า 90 % เท่ากับจะกระตุ้นเศรษฐกิจคู่ไปกับการแก้หนี้
ส่วนเรื่องแบงก์ชาติและผู้ว่าฯ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาสนฤพุฒิ ที่ตกเป็นเป้าโดนวิพากษ์จากรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย นายพิชัยบอกว่า ไม่จำเป็นต้องรีบคุยวันนี้ หรือ พรุ่งนี้ และไม่ติดขัดว่าจะพูดคุยกันที่ไหน ที่แบงก์ชาติก็ได้ เพราะตนก็เคยเป็นกรรมการแบงก์ชาติมาก่อน
ยังย้ำด้วยว่า หากไปที่แบงก์ชาติ เขาจะไม่พูดเรื่องลดดอกเบี้ย แต่จะให้อิสระแบงก์ชาติ พิจารณาเอง
เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างเรื่องวิธีการและลีลาของนายพิชัย ที่ทำให้ความเขม็งเกลียวลดลง ดีกว่าแกนนำหรือลูกพรรคในเพื่อไทยและรัฐบาล ดาหน้ากันออกมาจัดเต็มใส่แบงก์ชาติ แต่ปกป้อง”อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่วิพากษ์ความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
ต้องไม่ลืมว่า นายพิชัยมาจากนักบัญชี จบบัญชีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คนจบบัญชีมักเป็นคนละเอียดอ่อน รอบคอบ สุขุม เหมือนกับวิธีการทำงาน เขาเติบโตบนเส้นทางนักบัญชี ถึงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ การเงินและบัญชีของ ปตท.ปี 44 ยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยศในขณะนั้น
ตรงกับช่วงแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท.เป็นบริษัทมหาชน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก่อนที่เขาจะขยับขึ้นไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 51
นอกจากนี้ ยังเคยเป็นกรรมการแบงก์ชาติ เป็นนายกสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) การผ่านงานสำคัญในแวดวงราชการ และกึ่งราชการอย่างรัฐวิสาหกิจ ทำให้บุคลิก ท่าทาง รวมทั้งการเจรจาพูดคุยกับคนในวงการราชการด้วยกัน จะรู้สึกคุ้นเคย พูดภาษาเดียวกัน และเป็นพวกเดียวกัน
การประสานเจรจากับสภาพัฒน์ฯ รวมทั้งแบงก์ชาติ จะเป็นไปได้ง่ายกว่า ต่างจากคนวงนอกราชการ คนจากภาคธุรกิจ ภาคเอกชน ที่ต้องระแวดระวังไม่มีไว้ใจมาก เพราะหากผิดพลาดขึ้นมา ข้าราชการย่อมได้รับผลกระทบหรือ หรือ "ซวย" ไปด้วย ยิ่งถ้าโดน ม.157 เท่ากับเส้นทางราชการดับวูบ จะไปภาคเอกชนก็ยากเพราะมีประวัติติดตัว
กูรูทางการเมืองบางคนบอกว่า บุคลิกภาพของนายพิชัย คล้าย ๆ กับ ปู่สมหมาย ฮุนตระกูล อดีตรัฐมนตรีคลัง คนมาดนิ่ม ไม่โฉ่งฉ่าง ไม่พูดมาก แต่พอถึงเวลาลงดาบสั่งปลดนายนุกูล ประจวบเหมาะ จากผู้ว่าฯแบงก์ชาติเมื่อปี 2527 หลังลดค่าเงินบาท ทำทันที และคล้ายคลึงกับนายประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีคลัง สมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่สั่งปลดผู้ว่าฯแบงก์ชาติ นายกำจร สถิรกุล เมื่อปี 32 เพราะขัดแย้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยคล้ายตอนนี้
จึงมีแนวโน้มสูงที่ภารกิจหลักอย่างหนึ่งของนายพิชัย นอกจากเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นนโยบายเรือธงแล้ว เรื่องจัดระเบียบ และรับการมือ แม้แต่จัดการกับหน่วยงานราชการที่อาจยังเห็นต่างหรือแข็งข้อกับรัฐบาล รวมทั้งแบงก์ชาติ แม้จะเป็นอิสระจากรัฐบาลตามโครงสร้าง ก็น่าจะตกบนบ่านายพิชัยด้วย
เพราะคำพูดประโยคหนึ่งของนายพิชัยเมื่อวันก่อน ที่ว่าแบงก์เป็นอิสระอยู่แล้วเหมือนทุกประเทศ มีอิสระในการคิด การวิเคราะห์ มีอิสระที่จะเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ทางเลือกนั้นต้องสนองความต้องการของประชาชน หรือคนที่มาทำงานแทนประชาชน ซึ่งในทางปฏิบัติ หมายถึง สส.และรัฐบาล
อยู่ที่วิธีการที่จะใช้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ดูจากบุคลิก และคำพูดแล้ว น่าจะใช้การประสาน พร้อมโอภาปราศรัย หรือการใช้ไม้นวมเป็นตัวนำสำคัญในเบื้องต้น
แต่หากไม่ประสบผล อาจได้เห็นแข็งตามมาก็ได้ แม้การจัดการกับผู้ว่าแบงก์ชาติ ในกฎหมายปัจจุบันต่างไปจากกฎหมายฉบับก่อนที่ให้อำนาจรัฐมนตรีคลัง สั่งปลดได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลก็ตาม
เงียบ ๆ ขรึม ๆ ไม่พูดมาก ก็น่ากลัวได้เช่นกัน เพราะแม้จะคนละสไตล์ แต่มวยสังกัดค่ายเดียวกัน ถึงจังหวะนั้น ต้องดูพี่เลี้ยงหรือหัวหน้าค่ายว่าจะส่งสัญญาณให้ทำอย่างไร
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา