วันนี้ (9 พ.ค.2567) นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์สายพันธุ์โควิด-19 ว่า สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทยยังคงพบ JN.1 และลูกหลานเป็นสายพันธ์หลัก ซึ่งมีสายพันธุ์ย่อยของ JN.1 หลายชนิด
โดยแตกต่างกันที่ตำแหน่งกลายพันธุ์บนส่วนโปรตีนหนามของไวรัส เช่น R346T, F456L, R346T+F456L (FLiRT) รวมถึง F456L+Q493E เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ไวรัส มีความสามารถในการก่อโรค การหลบภูมิคุ้มกัน ตลอดจนการแพร่กระจายเชื้อแตกต่างกันไป
สำหรับสายพันธุ์ JN.1 (BA.2.86.1.1*) เป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.2.86* มีการเติบโตและแพร่กระจายได้เร็ว จนกลายเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลกกว่า 116 ประเทศ
นอกจากนี้ พบสายพันธุ์ย่อยใหม่ของ JN.1* โดยคาดการณ์ว่ามีความได้เปรียบในการเติบโตมากกว่า 2 เท่าหรือมากกว่า ได้แก่ KP.2, KP.3, KS.1, KP.1.1 ซึ่งประเทศไทยพบ KP.2 และลูกหลานแล้ว 9 คน ในเขตสุขภาพที่ 8, 10 และ 13 ส่วน KP.3 พบ 4 คน ในเขตสุขภาพที่ 4 และ 13
จากจำนวน JN.1 และลูกหลาน ที่พบทั้งหมด 503 คน คิดเป็นสัดส่วน KP.2 และลูกหลาน 1.79 % และ KP.3 0.79 %
นอกจากนี้ พบสายพันธุ์โอมิครอนลูกผสมระหว่าง JN.1 กับสายพันธุ์อื่นจำนวน 2 ราย ได้แก่ XDK 1 คน และ XDR 1 คน ในเขตสุขภาพที่ 1 และ 11
ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงถึงความรุนแรง หรือการเพิ่มความสามารถ ในการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์ลูกผสมนี้
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเครือข่ายห้องปฏิบัติการ เฝ้าระวังการเปลี่ยน แปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยรวบรวมตัวอย่างผลบวกเชื้อก่อโรคโควิด-19 จากการทดสอบ ATK หรือ Real-time RT-PCR จากทั่วประเทศ ถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม และเผยแพร่ ผ่านฐานข้อมูลสากล GISAID อย่างสม่ำเสมอ การเฝ้าระวังติดตามสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศอย่างเป็นปัจจุบัน ช่วยส่งเสริมความพร้อม ทางห้องปฏิบัติการในการรับมือกับการระบาดในอนาคต
ทั้งนี้ ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังเป็นไปตามคาดการณ์เนื่องจากโรคโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี
ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนมีความตระหนักแต่ไม่ตระหนก มีการป้องกันตนเองตามมาตรการสาธารณสุข สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด หรือที่มีการรวมตัวกลุ่มคน จำนวนมาก ล้างมือบ่อยๆ ยังใช้ได้กับทุกสายพันธุ์ สำหรับอาการและความรุนแรง มักขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวม ของบุคคลมากกว่าชนิดสายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ