ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ศูนย์วิจัยกสิกร เผย "สูงวัยเพิ่ม-รายได้น้อย" ฉุดบริโภคไทยวูบ 34%

เศรษฐกิจ
23 พ.ค. 67
14:12
658
Logo Thai PBS
ศูนย์วิจัยกสิกร เผย "สูงวัยเพิ่ม-รายได้น้อย" ฉุดบริโภคไทยวูบ 34%
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ศูนย์วิจัยกสิกร เผยโครงสร้างประชากรไทยเปลี่ยน กลุ่มสูงวัยเพิ่ม รายได้น้อย กว่า 34 % มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าเส้นความยากจน 3.7 ล้านคน ทำเกษตร ฉุดการบริโภคในประเทศ ด้าน SME ส่ออ่วม จ้างงานสูง รายได้ต่ำ ปัญหาท้าทายที่รัฐต้องเร่งแก้ไข

วันนี้ (23 พ.ค.2567) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยผลวิเคราะห์โครงสร้างประชากรไทยพบว่า ปัจจุบันไทยพึ่งพาการบริโภคในสัดส่วนที่สูงขึ้น และฐานประชากรในอนาคตอาจมีกำลังซื้อจำกัด เสี่ยงทำให้การบริโภคในประเทศโตช้า

ดังนั้นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน รวมถึงดึงคนและแรงงานต่างชาติที่มีทักษะและมีศักยภาพเข้ามา เพื่อเพิ่มการบริโภคในประเทศ

โดยโครงสร้างประชากรไทยที่เปลี่ยนไป ทั้งจากจำนวนประชากรที่เริ่มลดลง และการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทย 3 ด้านหลักคือ การขาดแคลนแรงงานในระดับที่รุนแรงขึ้น การบริโภคในประเทศที่โตช้าลง ภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้น

ไทยพึ่งพาการบริโภคในประเทศในสัดส่วนที่สูงขึ้น แต่การเติบโตกลับมีแนวโน้มชะลอลงจากปัจจัยฉุดทางด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อ โดยในปี 2565 มีสัดส่วนอยู่ที่ 58 % ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วน 53 % สวนทางกับประเทศอื่นๆ

ทั้งนี้พบว่า สิงคโปร์ที่กำลังจะเป็นสังคมสูงวัยขั้นสุดยอดไล่เลี่ยกับไทยแต่มีแนวโน้มพึ่งพาการบริโภคในประเทศลดลงจาก 37 % เหลือเพียง 31 % หรือแม้แต่เวียดนามและอินโดนีเซียที่กำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยก็เริ่มเห็นสัดส่วนการพึ่งพาการบริโภคในประเทศลดลงเช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าประเทศเหล่านี้ มีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านอื่นๆ มาเสริม

อย่างไรก็ตาม การบริโภคในประเทศของไทยเติบโตชะลอลงจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่กระทบกำลังซื้อ ค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาสินค้าและบริการแพงขึ้น รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้นอนาคต หากจำนวนประชากรไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จะฉุดการบริโภคในประเทศให้ขยายตัวช้าลงอีก

โดยโครงสร้างประชากรไทยที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่รายได้ประชากรมีความไม่แน่นอนตามสถานการณ์เศรษฐกิจ การบริโภคที่อาจลดลงจากทั้งผู้สูงอายุที่ใช้จ่ายน้อยลงและจำนวนประชากรที่น้อยลง จะยิ่งส่งผลลบต่อการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฐานประชากรไทยในอนาคตมีกำลังซื้อจำกัด ดังนี้

ผู้สูงอายุไทยที่จะกลายมาเป็นฐานประชากรที่สำคัญมีรายได้น้อย เห็นได้จากผู้สูงอายุไทยกว่า 34 % มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าเส้นความยากจน (Poverty Line) และในบรรดาผู้สูงอายุที่ยังทำงานทั้งหมด 5.1 ล้านคน พบว่า 3.7 ล้านคน ประกอบอาชีพในภาคเกษตร ถึง 59 % และภาคการค้า มีสัดส่วน 14 % ซึ่งมีค่าจ้างเฉลี่ยต่ำกว่าอาชีพอื่นๆ ส่งผลกดดันการบริโภคของผู้สูงอายุไทย

ขณะที่แรงงานไทยมีผลิตภาพแรงงานต่ำ และส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในธุรกิจที่มีค่าตอบแทนน้อย ผลิตภาพแรงงานไทยมีการขยายตัวเฉลี่ยต่อปีค่อนข้างต่ำอยู่ที่ราว 1.5 % (CAGR 2014-2022) ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอยู่ในธุรกิจที่มีค่าตอบแทนรายได้ต่ำ

โดยเฉพาะในภาคเกษตรที่ผลิตภาพแรงงานน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับภาคธุรกิจอื่นๆ แต่กลับมีสัดส่วนแรงงานที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้สูงถึงราว 30% ของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด ขณะที่แรงงานภาคเกษตรมีรายได้เฉลี่ยเพียง 6,975 บาทต่อเดือนเท่านั้น (ส่งผลให้แรงงานกลุ่มนี้มีความสามารถในการบริโภคที่จำกัด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเป็นความท้าทายเร่งด่วนที่ไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่การบริโภคในประเทศจะชะลอตัวลง โดยมีแนวทางดำเนินการที่อาจมีกรอบเวลาแตกต่างกัน

โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้ของประชาชนให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น โดยการปรับโครงสร้างการผลิต ควบคู่กับการพัฒนาทักษะแรงงานให้รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่มีการใช้เทคโนโลยีเข้มข้นและบริการที่มีมูลค่าสูง เช่น อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ แผงวงจร PCB/PCBA) อุตสาหกรรมดิจิทัล จะมีแนวโน้มเติบโตขึ้น

การลงทุนส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่แค่ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนรายใหญ่ ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม หรือ SMEs อีกจำนวนมาก ที่ยังต้องรอการช่วยเหลือหรือเร่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภาครัฐ

อย่างไรก็ตามโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ พบว่า มีจำนวนผู้ประกอบการ SMEs รวม 3.18 ล้านราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 99.5 % ของผู้ประกอบการทั้งหมด 3.2 ล้านรายมีสัดส่วนการจ้างงานสูงถึง 71 % แต่กลับสร้างรายได้ให้กับประเทศคิดเป็นสัดส่วนเพียง 35 % ของ GDP เท่านั้น (และมีแนวโน้มที่การสร้างรายได้อาจลดลงจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากการขยายตลาดของรายใหญ่

โจทย์สำคัญจึงอยู่ที่การช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถปรับตัวให้ทันกับปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้แรงงานในธุรกิจ SMEs มีรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นและสอดคล้องกับการพัฒนาทักษะ

นอกจากนี้การจัดสรรงบประมาณภาครัฐและวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับศักยภาพและคุณภาพชีวิตของประชากร ซึ่งแต่ละมาตรการอาจมีกรอบระยะเวลาของการดำเนินการและเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นมาตรการระสั้นและระยะยาว 

โดยมาตรการระยะสั้น เช่น ปรับปรุงระบบบริการสาธารณะ เช่น ระบบขนส่ง ให้รองรับการใช้ชีวิตของคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายให้อาคารและสิ่งปลูกสร้างต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น การติดตั้งลิฟท์ ทางลาดให้เข้าถึงได้ง่ายและปลอดภัย

ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในหน่วยงานภาครัฐ และมีมาตรการทั้งจูงใจให้ภาคเอกชนจ้างงานผู้สูงอายุ รวมถึงการพัฒนาทักษะแรงงานให้ผู้สูงอายุยังมีงานทำต่อ ซึ่งไทยและหลายประเทศได้มีมาตรการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ เช่น การจ่ายค่าจ้างเงินอุดหนุนให้แก่ธุรกิจที่จ้างงานผู้สูงอายุ การให้เงินกู้ยืม/เงินช่วยเหลือในการประกอบอาชีพ เป็นต้น

ส่วนมาตรการระยะกลาง-ยาว คือกระจายศูนย์บริการด้านสาธาณสุขที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง วางแผนการเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลผู้สูงอายุให้เพียงพอกับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาให้บริการ เช่น ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ซึ่งสอดคล้องไปกับเทรนด์โลกที่คาดว่าในช่วงปี 2020-2027 มูลค่าตลาด Health Tech ทั่วโลกจะเติบโตที่ 14.5 % (CAGR) และในเอเชียแปซิฟิกจะมีเติบโตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 17.6 % (CAGR)

รวมไปถึงการดึงชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อหรือแรงงานต่างชาติที่มีทักษะสูงเข้ามา เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยยังรักษามาตรฐานของสินค้าและบริการ และการเข้าถึงของคนในประเทศ การใช้จ่ายของชาวต่างชาติเป็นอีกกลุ่มที่มีความสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยในปี 2566 ชาวต่างชาติมีการใช้จ่ายหรือการบริโภคในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 5 % ของ GDP ทยอยฟื้นตัวกลับไปสู่ช่วงก่อน โควิดที่มีสัดส่วนการบริโภคราว 11 %

การดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น จะช่วยสร้างรายได้ เพิ่มการจ้างงานและการบริโภคในประเทศได้ โดยอาศัยธุรกิจที่เป็นจุดแข็งของไทย เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เร่งดึงดูดชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพใหม่ๆ

นอกเหนือจากนักท่องเที่ยวระยะสั้น เช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่พำนักระยะยาวหลังเกษียณ กลุ่มที่ทำงานทางไกล รวมถึงกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่มีทักษะสูง

อย่างไรก็ดี ภายใต้มาตรการการดึงดูดเม็ดเงินจากชาวต่างชาติ ภาครัฐควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในประเทศ รักษามาตรฐานของสินค้าและบริการ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ และประสบการณ์ที่ดีแก่ชาวต่างชาติ ควบคู่ไปกับการควบคุมและดูแลให้คนในประเทศ ยังสามารถใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการได้ โดยไม่มีอุปสรรคด้านราคาและการเข้าถึง

เช่น หากรัฐออกมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามารักษาพยาบาลในไทย ก็ต้องรักษาสมดุลให้จำนวนบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอกับการเข้าถึงการรักษาของคนในประเทศ เป็นต้น

คงจะขึ้นอยู่กับการออกแบบนโยบาย (Policy Design) ว่าจะทำอย่างไรให้มีผลกระทบกับคนในประเทศน้อยที่สุด ในขณะที่ไทยยังได้ประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนหรือเข้ามาใช้จ่ายของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น

อ่านข่าว: ราคาทองเช้านี้ ร่วงแรง 500 บาท แนะขายกำไรระยะสั้นที่ 41,950 บาท

เงินเข้าหรือยัง ? เงินคงเหลือบัตรคนจนเข้าพร้อมเพย์ 23-24 พ.ค.นี้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง