วันนี้ (28 มิ.ย.2567) ชาวบ้านหลุ่งตะเคียน ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา เข้าพบฝ่ายกฎหมายของกรมศิลปากร เพื่อทวงถามความคืบหน้าการรื้อถอนอาคารศาลาปฏิบัติธรรม ที่ปลูกคร่อมทับตัวปราสาทหินบ้านหลุ่งตะเคียนตามคำสั่งอธิบดีกรมศิลปากร
พระฉลวย อาภาธโร หัวหน้าที่พักสงฆ์โคกปราสาท ระบุว่า ยินดีให้ความร่วมมือในการรื้อถอน แต่เกรงว่าหากรื้อถอนโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญอาจเกิดความเสียหายได้ จึงต้องการให้กรมศิลปากรส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบและรื้อถอนตามขั้นตอน ซึ่งสำนักสงฆ์จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนเรื่องเอกสารสิทธิ์การครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าว เพราะมีชาวบ้านอ้างว่ามี สค.1 และอยู่ระหว่างขอออกโฉนดที่ดิน กรมศิลปากรจึงต้องประสาน สปก.นครราชสีมา เข้ารังวัดที่ดิน เพราะในเอกสารของ สปก.ระบุว่า เป็นที่ดินแปลงเลขที่ 7 เนื้อที่ 110 ไร่ เป็นที่หวงห้ามเฉพาะโบราณสถาน ไม่สามารถจัดที่ดินให้แก่บุคคลใด หากการรังวัดพบว่ามีการก่อสร้างอาคารบุกรุกที่ สปก. จะทำหนังสือขับไล่เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติงานได้
ทั้งนี้ ชาวบ้านหลุ่งตะเคียนรวมตัวทวงคืนปราสาทหินโบราณ อ้างว่า ที่พักสงฆ์วัดโคกปราสาท ได้เข้ามาใช้พื้นที่โบราณสถานสร้างอาคารปฏิบัติธรรมคร่อมทับลงกลางปราสาทหินบ้านหลุ่งตะเคียน ต่อมากรมศิลปากรมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2565 ให้รื้ออาคารศาลาปฏิบัติธรรมที่ปลูกสร้างในพื้นที่โบราณสถาน เพราะก่อสร้างโดยไม่ขออนุญาตอธิบดีกรมศิลปากรก่อน ต่อมาศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามรื้อถอนไว้
แต่กรมศิลปากรยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด ก่อนจะมีคำพิพากษาว่า การปล่อยให้มีอาคารศาลาการเปรียญปลูกสร้างอยู่บนพื้นที่ส่วนหน้าของปราสาท ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะและยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง จึงมีคำสั่งระงับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นผลให้ที่พักสงฆ์ต้องดำเนินการรื้อถอนอาคารที่สร้างคร่อมทับปราสาทโบราณออกโดยเร็ว เพื่อไม่ส่งผลกระทบต่อปราสาทหินโบราณ
อ่านข่าว : สหรัฐฯ เตรียมส่งคืนโบราณวัตถุ "เสาติดผนัง" ปราสาทหินพนมรุ้ง