วันนี้ (28 ส.ค.2567) นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน หัวหน้าชุดคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวน นำตัว 30 ผู้ต้องหา คดีเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับเงิน 140 ล้านบาท หรือคดีเป้ รักผู้การฯ พร้อมสำนวนความเห็นสมควรสั่งฟ้อง 31 กล่อง จำนวนกว่า 2 หมื่นแผ่น มอบให้พนักงานอัยการ สำนักงานปราบปรามทุจริตฯ พิจารณาสั่งคดี
นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า คดีนี้ใช้เวลากว่า 1 ปี ในการสรุปสำนวน ซึ่งคณะทำงานได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ต้องหาได้ชี้แจงเต็มที่ กระทั่งมีการสรุปสำนวน สั่งฟ้องผู้ต้องหา 31 คน จากทั้งหมด 35 คน แบ่ง เป็น ตำรวจ 19 นายและพลเรือน 12 คน ซึ่งจำนวนนี้พบว่าหลบหนี 1 คนคือนายต้น พัทยา
โดยมีการตั้งข้อหาแบ่งเป็น กลุ่มตำรวจตัวการ โดนข้อหาเรียกรับผลประโยชน์ มาตรา 149 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ม.157 พ.ร.บ. ป.ป.ช.และ พ.ร.บ.อุ้มหาย 16 คน
กลุ่มที่ 2 เป็นพลเรือน ข้อหาสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เรียกรับผลประโยชน์ และ พ.ร.บ.อุ้มหาย 3 คน
กลุ่มที่ 3 เป็นพลเรือน ข้อหาสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และ พ.ร.บ.อุ้มหาย 10 คน
กลุ่มที่ 4 ตำรวจไซเบอร์ 2 นาย กรณีการเข้าจับกุมแต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของผู้เรียกรับผลประโยชน์
โดยมีการสั่งไม่ฟ้อง 3 คน คือ แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีและนายนันทวัต ซึ่งถูกจับผิดตัว เพราะจากการตรวจสอบพยานหลักฐานแล้วพบว่าทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีดังกล่าว ส่วนอีก 1 คน หรือคนที่ 35 นั้นอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบ
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 30 คนเจ้าหน้าที่ ได้นัดให้ ทั้งหมดเดินทางมาฟังคำสั่ง ว่าจะฟ้องหรือไม่ 26 ก.ย.2567 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุดถนนรัชดาภิเษก
นอกจากนี้ทางชุดพนักงานสอบสวน ยังได้สืบสวนขยายผลคดี จนพบว่ามีการกระทำความผิด พ.ร.บ.ฟอกเงิน หลังจากพบว่ามีเส้นทางการเงินผิดกฎหมาย เชื่อมโยงไปยังผู้ต้องหา แบ่งเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการสืบสวนซึ่งเดินหน้าไปแล้ว 80% อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติมกับผู้ต้องหากลุ่มนี้ต่อไป คาดว่าจะสามารถส่งสำนวนให้สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก พิจารณาสั่งคดีภายในสิ้นปีนี้
ด้านนายวีระ หรือ บอย หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีนี้ เปิดเผยว่า ในคดีของตนมองว่าข้อกฎหมายของประเทศไทยเป็นการกล่าวหาไว้ก่อนแล้วค่อยมาต่อสู้หรือชี้แจงด้วยข้อเท็จจริง ซึ่งตนส่งเอกสารและพยานหลักฐานไปหมดแล้ว หลังจากนี้ให้เป็นเรื่องของกฎหมาย พร้อมระบุว่าความจริงก็คือความจริง ส่วนวันนี้ดีใจที่คนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยรอดหมดแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาคนกลุ่มนั้นถูกกลั่นแกล้ง ถูกจับใส่กุญแจมือเข้าห้องขัง ยึดของกลางรวมถึงโทรศัพท์ ถือว่าเป็นวิธีการที่โหดร้าย เพราะพวกเขาไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย และตอนนี้ของกลางก็ยังไม่ได้คืน ซึ่งตำรวจอ้างว่าหายและไม่มีใครติดตามหรือช่วยเหลือคดี
พร้อมยืนยันว่าตนไม่เคยมีพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่เคยแตะตัวนายเป้และไม่เคยกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วยเพราะตนเป็นสายลับคอยให้ข้อมูลกับตำรวจว่าใครทำเว็บพนันบ้าง ซึ่งข้อมูลที่ให้กับตำรวจตนไม่รู้รายละเอียดเชิงลึก แต่มีการพูดต่อ ๆ กันมา ส่วนตำรวจจะไปสืบสวนวิธีการแบบใดนั้นตนไม่ทราบ แต่ยอมรับว่ามีการไปชี้เป้าที่บ้านจริง แต่ไม่ได้เข้าไปร่วมจับกุมด้วย ส่วนข้อกล่าวหาที่บอกว่าตนไปล็อบบี้คดี ปฏิเสธว่าไม่มี
ส่วนความสนิทสนมของตนกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยอมรับว่าเคยดูแลนายพลระดับสูงที่เป็นคนดำเนินคดีกับตนเอง เนื่องจากตนทำธุรกิจท่องเที่ยวจึงมีการอำนวยความสะดวกให้นายพลระดับสูงและพรรคพวก ระหว่างท่องเที่ยว แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ลูกน้องใคร และไม่เคยทำหน้าที่พ่อบ้านรับเคลียร์หรือเคลียร์หน้าเสื่อให้กับใคร
อ่านข่าว :
เสียชีวิตอีก 2 คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนตายแล้ว 6 คน
"เจ๊ปู" ผลิตเหล้าเถื่อนโดน 4 ข้อหา ตรวจ 18 ซุ้มเมทานอลเกินมาตรฐาน