วันนี้ (9 พ.ย.2567) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของกำลังพลหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด พร้อมกล่าวให้โอวาทว่า มาตรวจเยี่ยมและดูความเป็นอยู่ของกำลังพลในพื้นที่ เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพเต็มที่ หากขาดเหลืออะไรขอให้แจ้งไปยังหน่วยที่เกี่่ยวข้อง สิ่งใดที่ดำเนินการแก้ไขได้ จะผลักดันเต็มที่
การเดินทางลงพื้นที่วันนี้ มายืนยันว่า เกาะกูดเป็นของประเทศไทย มีหน่วยงานราชการ ประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนถึงกำลังพลของกองทัพเรือที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ เพราะที่ผ่านมามีความเข้าใจผิดของคนบางกลุ่มในประเทศที่รู้สึกว่ามีปัญหาเอ็มโอยู 2544 ที่กัมพูชาลากเส้นมาและมีแนวเกาะกูดอยู่ตรงนั้นด้วย ถือเป็นการประกาศอ้างไหล่ทวีปขยายอาณาเขตตัวเองออกไปในปี 2515
ขณะที่ปี 2516 ไทยได้ประกาศไหล่ทวีปเส้นเขตแดนของเราเช่นกัน ทำให้มีเส้นทับซ้อนที่ต้องเจรจากัน โดยยึดกฎหมายระหว่างประเทศทางทะเล แต่ขอยืนยันได้ว่า พื้นที่ตรงนี้ยังเป็นของไทย และกัมพูชาไม่เคยพูดเรื่องนี้ และยอมรับโดยปริยาย ทั้งนี้มีการขีดเส้นที่เคยคุยกันในปี 2549 โดยเว้นเกาะกูดเอาไว้ เพียงแต่เราอยากให้เส้นนี้ขยายออกไปเพื่อให้เกิดความชัดเจน
นายภูมิธรรม ยังระบุว่า พื้นที่นี้เป็นอธิปไตยของไทย มีกองทัพเรือรับผิดชอบทั้งบนบกและทะเล การลงพื้นที่เนื่องจากมีความไม่เข้าใจเอ็มโอยู 44 และพื้นที่เกาะกูด หากมองไปรอบๆ จะเห็นได้ว่าเกาะกูดมีธงชาติไทยอยู่บริเวณรอบๆ รวมถึงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ใช้ป้องกันประเทศ
อีกทั้งความสัมพันธ์ตามแนวชายแดนทางผู้บังคับหน่วยระดับสูงของไทย-กัมพูชาไปมาหาสู่กัน ผลัดกันมาเยี่ยมเยือน และร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้มีอะไรวิกฤติหรือน่ากังวล ยืนยันว่าที่นี่มีความสงบสุข มั่นคงปลอดภัย
เขตแดน อธิปไตย ไม่ใช่ของเล่น
ส่วนจะต้องปรับปรุงเอ็มโอยู 44 หรือเปลี่ยนใหม่เพราะแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วการเจรจาไม่สำเร็จนั้น ย้ำว่า เอ็มโอยู 44 ไม่ได้พูดถึงผลประโยชน์อะไร เพียงแต่ระบุว่ามีพื้นที่ทับซ้อนที่อยู่ในกฎหมายทะเล และเอ็มโอยู 44 ขอให้มาดำเนินการในเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้อย่างสันติ
เวลาจะผ่านไปกี่ปี เอ็มโอยู 44 ก็เป็นกลไกที่สำคัญ ทั้งกองทัพ กระทรวงต่างประเทศ กรมสนธิสัญญา เห็นตรงกันว่ากลไกนี้มีความสำคัญ แม้แต่นายกษิต ภิรมณ์ อดีต รมว.ต่างประเทศ อดีตทหารเรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เคยเป็นประธานคณะกรรมการร่วมเทคนิคฝ่ายไทย สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้เดินหน้าต่อเนื่องมาในทุกรัฐบาล
กรณียุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกษิตพูดชัดเจนว่า ไม่ใช่เพราะเอ็มโอยู 44 ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่ขณะนั้น รัฐบาลไม่พอใจสมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา แทรกแซงหรือไม่ จึงแสดงออกด้วยการตอบโต้ ไม่มีผลอะไร เพราะไม่ได้เข้าสภา หรือยกเลิก และทางกัมพูชาไม่ได้ยกเลิกด้วย
มาถึงยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ดำเนินการต่อ เรื่องนี้หากใช้วิจารณญาณให้ครบถ้วนจะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร โดยกังวลเรื่องเดียวอย่าให้เอาผลประโยชน์ของพรรคการเมืองที่กำลังต่อสู้กัน หรือ แสดงออกด้วยกันกระทบผลประโยชน์ประเทศชาติ เพราะเรื่องอธิปไตยหรือเขตแดนไม่ใช่ของเล่นเฉพาะคนบางส่วน อยากให้คำนึงผลประโยชน์คนไทยเป็นสำคัญ
ตั้ง JTC เสร็จภายใน 2 สัปดาห์
นายภูมิธรรม ย้ำถึงการลงพื้นที่เกาะกูดท่ามกลางการต่อต้านของฝ่ายการเมืองและครบางกลุ่มว่า ไม่ใช่การฝ่ากระแส แต่ในฐานะจะเป็นผู้รับผิดชอบการแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ควรมาดูพื้นที่ที่จะเจรจากันเท่านั้นเอง และมีภารกิจเยี่ยมกำลังพลอยู่แล้ว ถือโอกาสนี้ ส่วนการตั้งคณะกรรมการร่วมเทคนิคฝ่ายไทย (JTC) เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ตามที่นายกัฐมนตรีได้ระบุไปแล้ว ขณะนี้นายกรัฐมนตรีไปปฎิบัติราชการต่างประเทศ แต่ระหว่างนี้ทางกรมสนธิสัญญา กระทรวงต่างประเทศนำร่างเดิมมาดูแล้วปัดฝุ่น ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการโดยตำแหน่งเกี่ยวข้องเขตแดน กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายทะเล แต่พยายามให้เพิ่มสำนักงานกฤษฎีกา อัยการสูงสุด สภาพัฒน์ ครอบคลุมมากขึ้น จะได้ไม่รู้สึกว่ากระทำเพื่อคนกลุ่มหนึ่ง รัฐบาลแคร์เรื่องนี้ ไม่ต้องห่วง
ส่วนกรณีสมเด็จฮุนเซน เคยแต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจกัมพูชานั้น เรื่องนี้ไม่มีปัญหา คิดว่าจากการสำรวจเสียงต่อต้านที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการเมืองที่ต่อสู้กันมา กรณีนายทักษิณ เกือบ 20 ปีมาแล้วที่ได้รับการแต่งตั้ง และนายทักษิณยังเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจประเทศอื่นด้วย ไม่ใช่เฉพาะกัมพูชา เพราะเห็นว่านายทักษิณประสบความสำเร็จแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หลายประเทศเชิญไป แต่ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นปัญหา และจบภารกิจไปแล้ว เรื่องธรรมดา อย่ากังวลและไปปลุกกันมาทุกเรื่อง
"ทนายกรัฐมนตรีจะเดินมางมาเกาะกูดหรือไม่นั้น คงต้องสอบถามนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพราะภารกิจมีมาก หากมาได้ ท่านคงมา แต่อย่างน้อยในฐานะคณะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว การเดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้ ก็เหมือนตัวแทน ครม. ทั้งคณะอยู่แล้ว"
ห้องพักเกาะกูด ถูกยกเลิก 50 %
ทีมข่าวไทยพีบีเอสลงพื้นที่ พูดคุยกับ พุดซ้อน แสงทอง ผู้ประกอบการที่พักเกาะกูด จ.ตราด บอกว่า หลังมีการนำเสนอข่าว มีการนำข้อมูลที่บิดเบือน ไปลงในโซเชียล ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่จองห้องพักช่วงเทศกาลปีใหม่ ติดต่อมาขอยกเลิกการจองห้องพักกว่าร้อยละ 50
เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย แม้ทางรีสอร์ตจะพยายามอธิบาย ว่าในพื้นที่ไม่ได้มีเหตุการณ์เหมือนที่สังคมเข้าใจผิด แต่นักเที่ยวเที่ยวบางส่วนก็ยืนยัน จะยกเลิกที่พัก เพราะกังวล และมีบางรายตั้งคำถามว่าเกาะกูดเป็นของเพื่อนบ้านใช่หรือไม่ ซึ่งคำถามนี้ถือเป็นคำถามที่ทำร้ายจิตใจคนในพื้นที่ เพราะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่เกาะกูดคือคนไทย และที่นี่คือประเทศไทย
เช่นเดียวกับนายวัชรพงษ์ ประวาศวิล ผู้ใหญ่บ้านคลองเจ้า หมู่ 2 ต.เกาะกูด บอกว่า มีนักท่องเที่ยวโทรมาถามและยกเลิกการเดินทาง เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย บางคนกลัวถึงกับยกเลิกการเดินทาง ซึ่งถือเป็นผลกระทบโดยตรงกับคนในพื้นที่ และถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายถ้ากลุ่มต่าง ๆ นำเรื่องการเมืองมาปั่นกระแส ทั้งๆ ที่ชุมชน ผู้ประกอบการ เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19
ทั้งนี้ปกติช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.2567 เพิ่งเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวที่จะสร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกาะกูด จ.ตราด คึกคักอย่างมาก โดยทุกปีเกาะกูดมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละประมาณ 300,000 คน สร้างรายได้ปีละกว่า 1,000 ล้านบาท และช่วงไฮซีซันของทุกปี นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งจะมีการจองที่พักล่วงหน้า
อ่านข่าว :
"ภูมิธรรม" ขอให้ยึดหลักความเป็นจริง วิจารณ์ปม "เกาะกูด"