ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ยุติ "เปิบน้องหมา" ไม่แก้หนาวแถมเสี่ยงโรคพิษสุนัขบ้า

สังคม
15 พ.ย. 67
13:24
11
Logo Thai PBS
ยุติ "เปิบน้องหมา" ไม่แก้หนาวแถมเสี่ยงโรคพิษสุนัขบ้า
ไม่ได้รู้สึกว่าช่วยได้ตามสรรพคุณได้เลยที่ว่ากินเนื้อหมา จะเป็นยาชูกำลัง เป็นการพูดแค่ในสวนดีที่คนอยากกินมากกว่า

จอน หนุ่มวัย 30 ปีชาวเชียงราย บอกกับไทยพีบีเอสออนไลน์ถึงเรื่องราวการกินเนื้อสุนัข หรือเนื้อหมาที่เกิดขึ้นกับเคสของน้องหมาซูชิ ที่มีชาวอาข่า อ้างขอรับไปเลี้ยงแต่สุดท้ายถูกพบว่านำไปฆ่ากิน

หนุ่มชาวเชียงราย บอกว่า เมื่อกว่า 10 กว่าสมัยที่ยังเรียน ปวช.เคยกินเนื้อหมาในร้านลับแถวเชียงราย เพราะเป็นการชักชวนและท้าทายจากเพื่อนๆ ที่ิกินเหล้าขาวและยาดอง ซึ่งส่วนใหญ่เด็กวัยรุ่น จะรู้ว่าหลังร้านยาดอง (ร้านลับ) นี้มีเมนูเนื้อหมา ประกอบกับความเชื่อของผู้สูงอายุ ที่บอกว่ากินแก้หนาวกินเป็นยาชูกำลัง 

กินไม่เกิน 10 ครั้ง เพราะเพื่อนท้าทายกัน คนเหนือไม่ได้กินเป็นอาหารหลัก แต่มีความเชื่อกินแล้วเป็นยาชูกำลัง ไม่ใช่ทำเป็นกับข้าว แต่เป็นกับแกล้มเหล้า ช่วงนั้นยังไม่มีกฎหมายทารุณกรรม

อ่านข่าว "น้องซูชิ"ผองเพื่อนรวม 4 ชีวิต น้องหมาหาบ้านถูกส่งโรงเชือด

หากถามถึงรสชาติ จอน บอกว่า รสชาติเหมือนไก่ ไม่คาว แต่ต้องปรุงแบบรสจัดและกินกับเหล้าขาวอย่างเดียว ไม่เหมาะกับเบียร์หรือเหล้าแดง และไม่บอกว่าเนื้อหมาสายพันธุ์ไหน แต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมาหมาแถวบ้าน คงไม่เอาตัวแพงมาชำแหละขาย และยิ่งถ้าเป็นหมาดำจะยิ่งดี ทำนองว่าสรรพคุณดีเหมือนซุปไก่ดำ เป็นยาที่ดีกว่า

รูู้ว่าเนื้อหมา เขาเรียกว่าเนื้อสวรรค์ ไม่ได้รู้สึกกลัวในตอนนั้น เพราะวัยรุ่น และต้องการยอมรับในกลุ่มเพื่อน จากการท้าทาย และคำบอกต่อๆ กันเป็นเนื้อ ชาวบ้านก็รู้ว่าเป็นร้านลับ แต่ตอนนี้ปิดไปแล้ว 

จอน ยอมรับว่า หลังจากโตขึ้น และได้เดินทางไปที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งก็ยังมีการวางจำหน่ายเนื่้อหมาแบบหน้าตู้แขวนเป็นตัวๆ แบบข้าวมันไก่เลย เห็นแล้วรู้สึกสะเทือนใจมาก

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่กินเนื้อหมา เพราะแท้จริงแล้วไม่ได้มีสรรพคุณแก้หนาว หรือเป็นยาชูกำลังตามที่กล่าวอ้างเลย ยิ่งวันนี้เห็นข่าวน้องซูชิ รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นี้

เขาบอกว่า ในปี 2567 ที่โลกพัฒนาไปมากแล้ว อยากให้ยุติการกินเนื้อหมา รวมทั้งขอแนะนำสำหรับคนที่จะให้หมาบุคคลที่ 3 ไปเลี้ยงควรต้องเช็กให้ชัวร์ก่อนให้น้องหมาไปเลี้ยงเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบน้องซูชิ

เตือนชำแหละ-กินเสี่ยงพิษพิษสุนัขบ้า

นายสัตวแพทย์เกษตร สุเตชะ นายสัตวแพทย์ประจำศูนย์วิจัยและนวัตกรรมทางสัตวแพทย์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า ค่านิยมกินเนื้อหมาในภาคเหนือบางจังหวัด และภาคอีสาน มีอยู่แล้วไม่เคยหายไปไหนโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว เพราะความเชื่อที่ว่ากินหมาดำ จะช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้น

ทั้งนี้ เรื่องค่านิยมกินหมาไม่ได้หายไปไหน แม้จะลดน้อยลงกว่าในอดีต เพราะว่าคนจำนวนมากในไทย และทั่วโลกจะเลี้ยงหมา-แมวแบบลูก ดูแลสุขภาพสัตว์ดีขึน แต่ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงจากการเชื้อโรคจากหมาจะหมดไป เนื้อหมายังมีความเสี่ยงในการเกิดโรคพิษสุนัขบ้า โรคพยาธิใบไม้ในตับ พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด โรคแท้งก์ติดต่อ โรคฉี่หนูยังเกิดขึ้นได้

เฉพาะหมาจรจัดที่อาจถูกจับมากิน เสี่ยงติดโรคพิษสุนัขบ้า จากช่วงของการจับหากถูกจับ รวมทั้งระหว่างการชำแหละที่อาจรับเชื้อผ่านจากน้ำเลือด ของเหลวในตัวหมาเข้าสู่ร่างกายได้ รวมถึงเนื้อหมา และเครื่องในหมาแม้จะปรุงสุกก็ตาม  

 

เหตุผลยุติบริโภคเนื้อหมาในทวีปเอเชีย

จากการตรวจสอบข้อมูลของ มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย ซึ่งรณรงค์ธุรกิจค้าเนื้อสุนัขและแมวในเอเชียมากว่า 11 ปี ครอบคลุมประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา ไทย ไต้หวัน จีน เกาหลีใต้ 

ข้อมูลระบุว่า ในประเทศเวียดนาม คาดการณ์ว่ามีสุนัขกว่า 5 ล้านตัวที่ถูกชำแหละในแต่ละปีเพื่อการบริโภค โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจว่า รัฐบาลเวียดนามได้ทำการสุ่มทดสอบสุนัขหลายร้อยตัวในโรงเชือด และได้ทราบผลจากหน่วยป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (US CDC)

พบว่าสุนัขมากกว่า 3% มีผลทดสอบเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าเป็นบวก ซึ่งทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจการค้าเนื้อสุนัขและผู้บริโภคมีความเสี่ยง

มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย ยังระบุว่า ร่วมมือกับฝ่ายควบคุมโรคระบาดสัตว์ของเวียด นาม (Department of Animal Health) ในการสำรวจโรงเชือดและร้านอาหารที่มีเมนูจากเนื้อสุนัข เพื่อรวบรวมหลักฐาน ข้อมูลในการสนับสนุนการ กวาดล้างธุรกิจดังกล่าว ด้วยเหตุผลด้านความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชน

ในเดือน ก.ย.2561 จังหวัดฮานอย ได้ประกาศว่าฮานอย จะแบนการค้าเนื้อสุนัขในเมืองทั้งหมดภายในปี พ.ศ.2564 จากนั้นในเดือน ก.ย.2565 ตั้งกลุ่มการทำงาน เพื่อเดินหน้ายุติการค้าเนื้อสุนัขและแมว โดยมุ่งเป้าไปที่การควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าเป็นหลัก ร่วมกับฝ่ายควบคุมโรคระบาดสัตว์ของเวียดนาม กลุ่มความร่วมมือภูมิภาคฮานอย และ GARC

ขณะนี้โครงการมีความก้าวหน้าอย่างมาก ในเดือนก.ค.2566 มีการประชุมกับสภาแห่งชาติเวียดนาม เกี่ยวกับการค้าเนื้อสุนัขแและแมว และในปีเดียวกันนี้ฝ่ายการศึกษาของเวียดนาม และสมาคมผู้ใช้ยาแผนโบราณ ยังได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเพื่อยุติกิจการค้าเนื้อในประเทศ

ผู้นำสมาคมแพทย์แผนโบราณแห่งเวียดนาม (VOTMA) ได้ประกาศยกเลิกการใช้เนื้อสุนัขและแมวในส่วนผสมของยาและโรงเรียนหลายแห่งได้รณรงค์เรื่องดังกล่าวในหลักสูตรการศึกษา

ในเดือนมิ.ย.2567 ทางการของกรุงฮานอย ได้ออกคำสั่งให้ยุติการค้าเนื้อสุนัขและเนื้อแมวทั่วเมือง เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ถูกต้องตามจริยธรรมมากขึ้น

อ่านข่าว 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง