วันนี้ (7 ม.ค.2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 จำนวน 3,780,600 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับกรอบวงเงินตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปึงบประมาณ 2569-2572) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2567
โดยปี พ.ศ. 2569 นี้ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จำนวน 27,900 ล้านบาท โดยจะมีรายได้สุทธิจำนวน 2,920,600 ล้านบาท และเป็นเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 860,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
สำหรับโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ประกอบด้วย
- รายจ่ายประจำ จำนวน 2,645,858.9 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70.0 ของวงเงิน
- งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 123,541.1 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.3 ของวงเงิน
- งบประมาณรายจ่ายลงทุน จำนวน 860,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.7
- รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 151,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.0 การวงเงิน
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2567 อย่างเคร่งครัด 4 เรื่อง ดังนี้
1.ให้กระทรวงการคลังจัดเก็บรายได้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยให้เทียบเคียงการดำเนินการกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับประเทศไทย
2.ให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด เพื่อให้มีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน สำหรับการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้เสนอขอรับเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยให้ความสำคัญกับโครงการลงทุนของภาครัฐ
3.ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ หรือเงินสะสม ให้นำเงินเหล่านี้มาใช้ดำเนินโครงการ/ภารกิจในความรับผิดชอบเป็นลำดับแรก รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินโครงการของหน่วยงานตามความเหมาะสม
4.ให้ทุกกระทรวงและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนและนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น
อ่านข่าว :