ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะหมดวาระ "โจ ไบเดน" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้อำนาจลงนามอภัยโทษให้หลายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่อริทางการเมืองของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ทั้ง ดร.แอนโทนี เฟาชี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดและหัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของของประธานาธิบดีทั้งในยุคทรัมป์และไบเดน ซึ่งเฟาชีมักถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยทรัมป์และผู้สนับสนุนอยู่เสมอเกี่ยวมาตรการรับมือช่วงโควิด-19 ที่ค่อนข้างรัดกุม เช่น มาตรการเว้นระยะห่าง การใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ หรือการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีน รวมถึงเฟาชีเองเคยออกมาระบุว่า ถูกขัดขวางการทำงานระหว่างที่ต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลทรัมป์
อีก 1 คนที่ถือว่าเป็นคู่อริคนสำคัญของทรัมป์ คือ พลเอกมาร์ค มิลลีย์ อดีตประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งแสดงตนว่าอยู่ตรงข้ามกับทรัมป์อย่างชัดเจน โดยมิลลีย์เคยแสดงความไม่เห็นด้วยต่อแผนการด้านการทหารของทรัมป์หลายครั้ง เช่น การถอนทหารสหรัฐฯ ทั้งหมดออกจากอิรักและซีเรีย รวมถึงการให้มีกำลังทหารไว้บนถนนของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อจัดการกับการประท้วงที่รุนแรง ขณะที่ทรัมป์เคยออกมาโจมตีมิลลีย์ว่าเป็นพวกทรยศและสมควรถูกลงโทษประหารชีวิต
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการอภัยโทษล่วงหน้าในรอบนี้ คือ สมาชิกคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสอบสวนเหตุการณ์บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2563 ซึ่งทรัมป์เคยระบุว่า จะลงโทษใครก็ตามที่พยายามสอบสวนหรือเอาผิดเขาในเหตุการณ์ครั้งนั้น
กลุ่มสุดท้ายที่ไบเดนลงนามอภัยโทษ คือ สมาชิกครอบครัวของตนเอง ซึ่งรวมถึงน้องสาวและน้องชายทั้งสองคนของเขา โดยไบเดนระบุว่า เพื่อปกป้องครอบครัวของเขาจากการถูกโจมตีทางการเมือง และไม่ควรถูกเข้าใจผิดว่ามีส่วนรับรู้ถึงการกระทำผิดใด ๆ
ก่อนหน้าที่ไบเดนจะเดินทางออกจากรุงวอชิงตัน ดี.ซี.อย่างเป็นทางการด้วยภารกิจสเปเชียล แอร์ มิชชัน 46 ไบเดนสุนทรพจน์อำลา พร้อมฝากประโยคเด็ดไว้ว่า เราแค่ออกจากตำแหน่ง แต่เราไม่ได้ออกจากต่อสู้ ถือเป็นจังหวะทิ้งทวนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ที่ชื่อโจ ไบเดน และอาจจะบอกถึงนัยอะไรบางอย่างไว้
อ่านข่าว : "ทรัมป์" สาบานตนเป็น ปธน.สหรัฐฯ คนที่ 47 เดินหน้านโยบายผู้อพยพ
จับตา 100 วันแรก หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" นั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ
ย้อนผลงานสะเทือนโลก เมื่อครั้ง "ทรัมป์" นั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก