การเลือกตั้งนายกและสมาชิก อบจ.ที่จะมีขึ้นหลายแห่งทั่วประเทศในวันที่ 1 ก.พ.นี้ สนามเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย เป็นอีกแห่งที่น่าจับตามอง เพราะนอกจากจะเป็นที่อยู่ในขั้วของพรรคเพื่อไทยลงชิงกันเองแล้ว
ยังหมายถึงการช่วงชิงพื้นที่ฐานเสียงการเมืองระดับประเทศ ที่พรรคเพื่อไทยยอมไม่ได้ถึงขั้นนายใหญ่อย่างทักษิณต้องโดดมาช่วยหาเสียงเองทำให้จึงเป็นการแข่งที่ดุเดือดและเข้มข้นอย่างแน่นอน
การนำรถตระเวนปราศรัยหาเสียงไปตามชุมชนต่างๆ เป็นหนึ่งในกลยุทธ ที่ นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ภรรยานายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรัฐมนตรี ผู้สมัครนายกอบจ.เชียงราย หมายเลข 2 นำมาใช้ในการหาคะแนนเสียงให้กับตัวเองในการเลือกตั้งนายก อบจ. และสมาชิก อบจ.เชียงราย ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.ที่จะถึงนี้
แต่ทั้งนางสลักจฤฎดิ์ และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ผู้สมัคร หมายเลข 1 อดีตนายก อบจ.เชียงราย สมัยที่ผ่านมา ใช้การเปิดเวทีปราศรัยไปตามชุมชน ตำบลและอำเภอต่างๆ เป็นหลัก ในการพบปะและเรียกคะแนนเสียงจากประชาชนให้กับตัวเองและทีมงานผู้สมัครสมาชิก อบจ.เชียงรายทั้ง 36 เขตเลือกตั้ง
นางสลักจฤฎดิ์ ได้ชูนโยบายรถไฟสร้างเมืองคือการพัฒนาพื้นที่เชื่อมต่อสถานีรถไฟทั้ง 11 แห่งใน 7 อำเภอของ จ.เชียงราย ให้กลายเป็น "พื้นที่เศรษฐกิจชุมชน (Economic Hub)" ที่สร้างความเจริญแก่ท้องถิ่น ด้วยการออกแบบพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟให้มีบทบาทมากกว่าการเป็นจุดพักผู้โดยสาร แต่ยังเป็นจุดเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และศูนย์กลางการพัฒนาอย่างยั่งยืนทำเชียงรายให้เป็น "เมืองหลวงชากาแฟของโลก" "เมืองกีฬาระดับโลก" "เมืองศิลปินและศิลปะระดับโลก" ตลอดจนพัฒนาเชียงรายให้เป็นแหล่งผลิตนักกีฬาระดับนานาชาติ โดยเฉพาะใน 5 ชนิดกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล กอล์ฟ วอลเลย์บอล แบดมินตัน และกีฬานักเรียน
ด้านนางอทิตาธร ได้ชู 7 นโยบายหลัก "มั่นใจนกทำได้ เชียงรายต้องไปต่อ" ไม่ว่าจะเป็นการกระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้เลี้ยงชีพได้ นักขายออนไลน์ กระจายสินค้า เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอ อยู่ที่ไหนก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus) ตลอดจนศูนย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (TCDC) สร้างเชียงรายแบรนด์ สู่ตลาดโลก
สำหรับเชียงราย แม้จะมีผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.เชียงราย 3 คน คือ นางอทิตาธร ได้หมายเลข 1 และนางสลักจฤฎดิ์ ได้หมายเลข 2 และ น.ส.จิราพร หมื่นไชยวงศ์ ได้หมายเลข 3 หากมองการแข่งขันก็คงมีเพียงนางอทิตาธรและนางสลักจฤฎดิ์หลัก เนื่องจากผู้สมัครหมายเลข 3 เป็นผู้สมัครหน้าใหม่และยังไม่มีเครือข่ายทางการเมืองมากนัก
หากมองภาพนางอทิตาธร และนางสลักจฤฎดิ์ ถือว่า มีเป็นคู่แข่งขันที่สมน้ำสมเนื้อและอาจวัดกันได้สูสี เนื่องจากนางอทิตาธร เป็นอดีตแชมป์เก่าในการเลือกตั้งสมัยที่ผ่านมา
ส่วนนางสลักจฤฎดิ์ ก็เคยได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.เชียงราย มาแล้วครั้งหนึ่ง แม้จะพลาดท่าจนต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองถึง 10 ปี แต่ก็มีแรงหนุนจากพรรคเพื่อไทยที่ส่งลงสมัครในนามของพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้นางอทิตาธร ก็เคยอยู่ในขั้วของพรรคเพื่อไทย มีทางพ่อและคนตระกูลวันไชยธนวงค์ เคยลงสมัคร สส.ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย มาจนถึงพรรคเพื่อไทย ก่อนที่จะมีแตกขั้วในสมัยลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย ครั้งที่ผ่านมา
ซึ่งทางนางอทิตาธร จะลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย แต่ทางพรรคได้ส่งทางนางสาววิสารดี เตชะธีราวัฒน์ ลงสมัครแทน ทำให้นางอทิตาธร ต้องลงสมัครในนามผู้สมัครอิสระ ทำให้คนในตระกูลและเครือข่าย ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยหลายคน แตกคอกับทางพรรค
ด้วยที่เป็นคนเพื่อไทยมาก่อน ฐานคะแนนของทั้งนางอทิตาธรและนางสลักจฤฎดิ์ จึงเป็นฐานะเดียวกัน และกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยระยะหลังก้แตกขั้วทำให้มีการแตกมาสนับสนุนทั้งสองฝ่าย จึงทำให้ฐานคะแนนถือว่าใกล้เคียงกัน
การแข่งขันในช่วงโค้งสุดท้ายของสนาม อบจ.เชียงราย ช่วงเวลาที่เหลือก่อนหย่อนบัตรเลือกตั้ง จึงเป็นช่วงชี้ชะตาว่าใครจะได้เก้าอี้ตัวนี้ไปครอง เชื่อว่าต่างฝ่ายต่างงัดกลยุทธิ์เข้ามาห้ำหั่นกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยนั้นจะยอมไม่ได้เพราะไม่เพียงแต่เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ยังหมายถึงฐานคะแนนในการเลือกตั้ง ส.ส. ในอนาคตด้วย ทำให้ถึงขั้นทางนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทยต้องเดินทางเข้ามาเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงเพื่อช่วยเหลือนางสลักจฤฎดิ์ ด้วยตนเองเลยทีเดียว