กว่าจะได้ข้อสรุป "ตัดไฟเมียนมา" เรียกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐมนตรีจาก 2 พรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีอาการคล้ายจะโยนเผือกร้อนใส่กัน ทั้งในแง่ของข้อกฎหมายและในเชิงทางการเมือง แม้ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลอ้างอิง ถึงข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติก็ตาม
ทำไมแจกแจงข้อกฎหมาย ไม่ครอบคลุมในคราวเดียวกัน, มีเจตนาพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวหรือไม่ และที่อยู่ในพะวง เพราะต้องการจะรักษาผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเองไว้หรือไม่ รวมถึงคำถามที่ว่า "เพื่อไทยกับภูมิใจไทย" กำลังงัดข้อกันเป็นไปได้ไหม
ซึ่งคงไม่ใช่แค่ "ปมขายไฟให้เมียนมา" ที่จะอ่านเกมแล้วได้ความว่า "เพื่อไทย-ภูมิใจไทย" งัดข้อกันทางการเมือง หากแต่ว่า "กัญชากัญชง-กาสิโน-เขากระโดง" ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปก็น่าจะได้เห็นอากัปกิริยาของรัฐมนตรี 2 พรรคนี้ หากแต่ว่ายังไม่ถึงคิวก็เท่านั้นเอง แต่กว่าจะได้ข้อสรุป "ตัดไฟเมียนมา" เหตุเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ เล่นเอาพัลวันเกือบ 2 สัปดาห์
ย้อนกลับไปช่วงที่รัฐบาล โดนตีหนักๆ กรณีขายไฟให้เมียนมา แล้วพาดพิง กระทรวงมหาดไทย ไม่ตรวจสอบคู่สัญญา นายอนุทิน ชาญวีรกูล ออกโรงมาโต้ทันควัน "จะไปถามลิงที่ไหน" แล้วก็ย้ำว่า "ที่นี่..คือมหาดไทย ไม่ใช่มหาดเมียนมา" รัฐบาลเมียนมารับรองมาแล้ว
แต่เมื่อถูกตั้งคำถามในเชิงเปรียบเทียบ ว่าไทยกำลังตกอยู่ในฐานะ "เป็นฐานที่มั่น หล่อเลี้ยงขบวนการคอลเซนเตอร์ จึงเป็นเวลาที่ นายอนุทิน ต้องกระโจนเข้าใส่ แล้วชี้ว่า "ขายไฟให้เมียนมาเป็นมติ ครม." พร้อมกับระบุว่า เป็นภัยต่อความมั่นคง
เป็นเหตุให้ต้องประสาน หน่วยงานความมั่นคง "ยืนยัน-สั่งการ" ให้หยุดจ่ายไฟ และอ้างว่า "กฟภ." ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ โดยไม่ได้แจกแจงว่า ตามสัญญามี 2 เงื่อนไข ก็โยนเผือกร้อนไปที่นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรองนายกฯ ด้านความมั่นคง
ข้อสังเกตมีอยู่ว่า สัญญาขายไฟฟ้า ระหว่าง "มหาดไทยกับคู่สัญญา" 1.คือมีรัฐบาลเมียนมา..รับรอง 2.คือลงนามทำสัญญา..ตามมติ ครม. เท่ากับว่า "มหาดไทย" มีอำนาจตามกฎหมายจริง (แต่.ก็เป็นไปได้ที่จะมีเงื่อนไขพิเศษเกิดขึ้นและแฝงอยู่) เมื่อพบปัญหา..ก็ 2 ข้อที่ว่านี้ละค่ะ ที่เป็นขอบข่าย-กำหนดอำนาจไปด้วย (1.คือต้องแจ้ง ครม. และ2.คือให้กระทรวงการต่างประเทศประสานด้วย)
ปมขายไฟให้เมียนมาเมื่อ "มหาดไทย" เคาะว่า เป็นภัยต่อความมั่นคง (ตามสัญญา) แบ่งออกเป็น 2 ปัญหา
ข้อที่ 1.ไม่จ่าย-ขายต่อ-ใช้ผิดประเภท ก็เป็นอำนาจของ "มหาดไทย" ตรงกับ มติ ครม. ปี 2539 ให้เป็นอำนาจของ กฟภ.โดยแจ้งผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงานฯ
ข้อที่ 2 คือเป็นภัยต่อความมั่นคง ต้องประสานหน่วยงานที่ร่วมรับผิดชอบซึ่งก็เป็นไปตาม มติ ครม.ปี 2567 จึงเป็นเหตุให้ "มหาดไทย" ทำหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆ "ปปส. , ป.ป.ง. , สตช.และ สมช. (แต่ยังตัดไฟเมียนมาไม่ได้) เพราะ "ยังไม่ได้รับคำตอบ" จากใคร
ร้อนถึงรัฐมนตรีต่างประเทศ "มาริษ เสงี่ยมพงษ์" ร่วมถก สมช. ตั้งคณะกรรมการร่วม "ติดตาม-แก้ปัญหา" แต่นายอนุทิน ก็ยังเล่นบทพร้อมปิดสวิตช์ ขอแค่ มติ ครม.หรือข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีแล้วออกตัวคล้ายกดดัน ว่าจะไม่รับผิดชอบ เพราะเป็นแค่ผู้ปฏิบัติ-ถูกสั่งให้ขายก็ขาย
จากนั้น "สมช." และ กองทัพ พร้อม กฟภ. ได้ข้อสรุปมา 6 ข้อ กับ 3 มติ สาระสำคัญ คือ พื้นที่ตั้งหลายจุด ความเชื่อมโยงของบุคคล เกี่ยวพันกับอาชญากรรมข้ามชาติและขบวนการคอลเซนเตอร์ ส่งเอกสารแจ้ง กฟภ.ดำเนินการ และกระทรวงการต่างประเทศ ประสานเรื่อง
ก่อนเข้าประชุม ครม.วันนี้ นายภูมิธรรม ออกมารับว่า "ไม่สบายใจ" และอ่านข้อกฎหมายทั้งหมดให้นักข่าวฟัง สรุปคือ "ปมขายไฟให้เมียนมา" กระทบความมั่นคง สมช.ต้องแจ้งนายกรัฐมนตรี สั่งการ ขณะที่นายอนุทิน ชี้ว่า กฟภ.ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและมีกฎหมายรองรับ
2 สัปดาห์นี้ อากัปกิริยาของ นายภูมิธรรมกับนายอนุทิน ที่แจกแจงปมขายไฟให้เมียนมา ผ่านข้อกฎหมาย โดยค่อยๆ เปิดเงื่อนไขต่างๆ ออกมา จนกลายเป็นข้อสังเกตว่า "โยนความรับผิดชอบใส่กัน" แล้ว ยังมีบางปฏิกิริยา ที่สะท้อนให้เห็นถึง "ปมการเมือง ระหว่างรัฐมนตรี 2 พรรค"
รัฐมนตรี 2 พรรคที่ว่า คือ "เพื่อไทยกับภูมิใจไทย" ที่ส่ออาการงัดข้อกัน ซึ่งอาจกำลังรักษาประโยชน์ของแต่ละฝ่ายตัวเองไว้ อย่างกรณีล่าสุด นายภูมิธรรม ถึง 2 ครั้งว่า "อย่าเห็น..แต่จะขาย" แล้วคาดโทษ..ไม่ตัดไฟ จะเรียกมาช่วยราชการ และตามข้อมูล "มหาดไทย" ขายไฟให้เมียนมา ปีๆ หนึ่งมีงบประมาณเข้ากระทรวงตกเป็นพันล้าน
เรื่องข้อกฎหมายจบตัดไฟแล้ว แต่ปมทางการเมืองมีภาคต่อแน่นอน
อ่านข่าว :
ตัดไฟเมียนมา คนไทยปลอดภัยจากแก๊งคอลเซนเตอร์หรือยัง?
เปิดสัญญาซื้อขายกระแสไฟฟ้าให้ "เมืองเมียวดี"
ด่วน! มติสมช.ตัดไฟ 5 จุดเมียนมา 9 โมงพรุ่งนี้ปิดทางคอลเซนเตอร์