แม้ในช่วงนี้จะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวที่ผู้คนทั่วโลกนิยมเดินทางไปเยือนเกาะซานโตรินีของกรีซ แต่ด้วยความที่เกาะแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางในฝันของใครหลาย ๆ คน จึงไม่แปลกที่ฤดู low season ก็ยังมีนักท่องเที่ยวมาที่ซานโตรินีเป็นจำนวนมาก แต่สถานการณ์กลับพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เกาะแห่งนี้มีประชากรเพียง 15,000 คน มักจะรองรับนักท่องเที่ยวนับล้านคนในแต่ละปี ยกตัวอย่างปี 2023 มีคนเข้ามาที่เกาะนี้มากถึง 3,400,000 คน แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวและคนบนเกาะนี้กลับรีบเร่งเดินทางออกจากเกาะ
ในช่วงเช้ามืดเมื่อวานนี้ (4 ก.พ.2568) ผู้คนจำนวนมากทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะ ต่างไปยืนรอจนแน่นเต็มพื้นที่บริเวณท่าเรือ เพื่อขึ้นเรือข้ามฟากเที่ยวแรกออกจากเกาะซานโตรินี
ภาพความโกลาหลเช่นนี้เกิดขึ้นตลอดช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่ามีผู้เดินทางออกจากเกาะนี้ ทั้งโดยสารเรือและเครื่องบิน รวมแล้วมากกว่า 9,000 คน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุที่ต้องอพยพหนีออกจากเกาะ เพราะแผ่นดินไหว
นับตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุแผ่นดินไหวในทะเลใกล้กับเกาะซานโตรินีแล้วมากกว่า 550 ครั้ง แต่แผ่นดินไหวเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยความรุนแรงขนาด 4.0 ขึ้นไป รวม ๆ แล้วเกิดขึ้นมากกว่า 40 ครั้ง ซึ่งความรุนแรงสูงสุด วัดได้ 5.0 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
แม้แผ่นดินไหวกับซานโตรินีจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ยอมรับว่า รูปแบบของการเกิดแผ่นดินไหวในครั้งนี้น่ากังวล และเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมทั้งประเมินไม่ได้ด้วยว่าจะเกิดขึ้นอีกนานแค่ไหน อาจนานหลายสัปดาห์ก็เป็นได้ และมีความเป็นไปได้ที่แผ่นดินไหวจะเกิดถี่ขึ้นและแรงขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญ เชื่อว่า ไม่น่าจะถึงขนาด 6.0
แผ่นดินไหวถือเป็นภัยพิบัติที่คาดการณ์ไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้ คือ การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ โดยทางการสั่งปิดโรงเรียนในซานโตรินีและอีก 3 เกาะในบริเวณใกล้เคียงไปจนถึงวันศุกร์นี้ รวมทั้งส่งทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยมากกว่า 20 คน ตั้งเต็นท์ใกล้โรงพยาบาลบนเกาะตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทางการยังร้องขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัย งดเว้นการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ในพื้นที่ปิด และหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงที่อาจเกิดหินถล่ม หรือริมหน้าผา รวมทั้งพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง เพื่อป้องกันอันตรายหากเกิดสึนามิ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่รัฐบาล ร่วมประเมินสถานการณ์กับทีมผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความกังวลว่าเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นหลายร้อยครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จะเป็นสัญญาณเตือนว่าแผ่นดินไหวใหญ่กำลังจะตามมาหลังจากนี้หรือไม่
สำหรับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ล่าสุดที่เกิดขึ้นในทะเลใกล้กับซานโตรินี เกิดขึ้นเมื่อปี 1956 โดยแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ในครั้งนั้นส่งผลให้เกิดคลื่นสึนามิสูงถึง 20 เมตร ถล่มชายฝั่งของเกาะต่าง ๆ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 53 คน บ้านเรือนประชาชนถูกทำลายและได้รับความเสียหายอีกมากกว่า 3,500 หลัง
ขณะที่หนึ่งในจุดที่น่ากังวลใจสำหรับเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ คือ ศูนย์กลางแผ่นดินไหวเริ่มเคลื่อนไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะซานโตรินี โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับภูเขาไฟ "โคลัมโบ" ซึ่งเป็นภูเขาไฟใต้ทะเลที่เคยปะทุขึ้นเมื่อปี 1650 และสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับพื้นที่โดยรอบ
ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวของกรีซ ระบุว่า แผ่นดินไหวในครั้งนี้น่าจะเกิดจากการขยับตัวของแผ่นเปลือกโลก และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการปะทุของภูเขาไฟ
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังแสดงความเห็นด้วยว่า ตามปกติแล้ว ภูเขาไฟในแถบนี้จะปะทุรุนแรงทุก ๆ 20,000 ปี แต่ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นและมีการบันทึกเอาไว้ คือ ช่วง 1,620 ปีก่อนคริสตกาล ดังนั้นบวกลบกันแล้ว ก็เพิ่งจะผ่านมาแค่ประมาณ 3,600 ปี เท่านั้น ยังเหลือส่วนต่างอีกหลายพันปีด้วยกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์
ข้อมูลการตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนเมื่อวานนี้ (4 ก.พ.) ชี้ว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นแทบจะทุก ๆ 10-20 นาที ดังนั้นไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมผู้คนถึงตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ใต้ทะเล ซึ่งไม่น่าจะสร้างความเสียหายให้กับสิ่งปลูกสร้างบนเกาะมากนัก
อ่านข่าว : ป่วยที่ญี่ปุ่นต้องรู้! วิธีเรียกรถพยาบาล รพ.ฉุกเฉิน และร้านขายยา