ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทำไมต้องมี ทำไมต้องถือ ? เจาะลึกกฎ Must Have, Must Carry

สังคม
6 ก.พ. 68
11:35
45
Logo Thai PBS
ทำไมต้องมี ทำไมต้องถือ ? เจาะลึกกฎ Must Have, Must Carry
Must Have, Must Carry กฎเหล็กที่ทำให้คุณดูบอลโลกฟรี แต่สร้างปัญหาให้วงการทีวีไทย กฎเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงรายการสำคัญ ๆ ได้ฟรี แต่ก็สร้างความท้าทายให้กับผู้ประกอบการทีวีในการจัดหาลิขสิทธิ์

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กฎ "Must Have" และ "Must Carry" กลายเป็นประเด็นสำคัญในวงการโทรทัศน์ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาระดับโลก กฎเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่สำคัญได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎเหล่านี้ได้สร้างความท้าทายและข้อขัดแย้งในด้านลิขสิทธิ์และการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการสื่อ

Must Have

"Must Have" หรือ "หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะทางฟรีทีวี" ถูกประกาศใช้ในปี 2555 โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กฎนี้กำหนดให้รายการโทรทัศน์ที่มีความสำคัญระดับชาติ เช่น การแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ ต้องเผยแพร่ผ่านฟรีทีวี เพื่อให้ประชาชนสามารถรับชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย Must Have ระบุว่าการแข่งขันกีฬาสำคัญ 7 รายการต้องเผยแพร่ผ่านฟรีทีวี ได้แก่

  1. การแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย
  2. การแข่งขันกีฬาซีเกมส์
  3. การแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์
  4. การแข่งขันอาเซียนพาราเกมส์
  5. การแข่งขันเอเชียนพาราเกมส์
  6. การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
  7. การแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก
ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

Must Carry

กฎ Must Carry เป็นหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโทรทัศน์ทุกประเภท เช่น เคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม และ IPTV ต้องนำช่องโทรทัศน์ที่ภาครัฐกำหนดไปออกอากาศ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร บริการสาธารณะ และเนื้อหาสำคัญที่เป็นประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม

หลักการนี้มักถูกใช้ควบคู่กับกฎ Must Have ซึ่งกำหนดให้รายการหรือการแข่งขันกีฬาบางประเภทต้องออกอากาศผ่านฟรีทีวีเพื่อให้ประชาชนได้รับชม

กฎ Must Carry มีการใช้งานในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ที่คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร (FCC) กำหนดให้ผู้ให้บริการเคเบิลทีวีต้องออกอากาศช่องโทรทัศน์ท้องถิ่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือในสหภาพยุโรป ที่ประเทศสมาชิกกำหนดให้ช่องที่ให้บริการข่าวสารหรือเนื้อหาสาธารณะต้องสามารถเข้าถึงได้ในทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงในสิงคโปร์ที่มีข้อกำหนดว่าช่องโทรทัศน์ที่ให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อประชาชนต้องเผยแพร่ผ่านทุกระบบการออกอากาศ

ในประเทศไทย กฎ Must Carry ถูกนำมาใช้โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงเนื้อหาสำคัญได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีต้องออกอากาศช่องทีวีดิจิทัลที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งรวมถึงช่องข่าว ช่องความรู้ และรายการกีฬาที่ถือว่าเป็นสาธารณะ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎนี้จะมีวัตถุประสงค์ที่ดี แต่ก็มีปัญหาหลายประการในการบังคับใช้

หนึ่งในกรณีปัญหาที่สำคัญคือ การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2565 ที่กาตาร์ ประเทศไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด กฎ Must Have กำหนดว่าฟุตบอลโลกต้องออกอากาศผ่านฟรีทีวี และกฎ Must Carry ระบุว่าผู้ให้บริการโทรทัศน์ทุกระบบต้องออกอากาศการแข่งขันนี้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้เอกชนไม่สามารถนำลิขสิทธิ์ไปสร้างรายได้จากการเก็บค่าสมาชิกหรือโฆษณาเพิ่มเติม ส่งผลให้การจัดหางบประมาณในการซื้อลิขสิทธิ์เกิดความล่าช้า จนต้องอาศัยเงินสนับสนุนจากกองทุนของ กสทช. และเงินร่วมลงทุนจากภาคเอกชนเพื่อให้ประชาชนสามารถรับชมได้ฟรี

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงในพื้นที่ห่างไกล แม้ว่ากฎ Must Carry จะช่วยให้ประชาชนสามารถรับชมช่องสาธารณะได้ แต่ในบางพื้นที่ยังมีข้อจำกัดเรื่องสัญญาณโทรทัศน์ที่ไม่เสถียร ทำให้ประชาชนบางส่วนต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มออนไลน์หรือ IPTV ซึ่งกฎ Must Carry ยังไม่มีการบังคับใช้อย่างครอบคลุมในแพลตฟอร์มเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการรับชมเนื้อหาสำคัญ

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

พิรงรอง - Must Carry - True ID

กฎ Must Carry ของ กสทช. กำหนดให้ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ต้องเผยแพร่ช่องทีวีดิจิทัลโดยไม่มีการแทรกโฆษณาหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหา กรณีปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อผู้บริโภคร้องเรียนว่า แอปพลิเคชัน ทรูไอดี มีการแทรกโฆษณาในช่องฟรีทีวี สำนักงาน กสทช. จึงมีหนังสือแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการให้ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎ Must Carry ขณะที่ ทรู ดิจิทัลฯ ตีความว่าการกระทำดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตน และนำไปสู่การฟ้องร้อง ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

คดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยทรู ดิจิทัลฯ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ ดร.พิรงรอง หยุดปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่เจ้าตัวยืนยันว่าการดำเนินการของ กสทช. เป็นไปตามกฎหมายและเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค วันที่ 14 พ.ค. 2567 ศาลมีคำสั่งให้ ดร.พิรงรอง ดำรงตำแหน่งต่อไป เนื่องจากไม่พบพฤติการณ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อทรู ดิจิทัลฯ

จนกระทั่งวันนี้ (6 ก.พ.2568) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน พิพากษาจำคุก 2 ปี ดร.พิรงรอง รามสูต โดยระบุว่า บริษัท ทรูดิจิทัลเป็นกิจการ OTT (Over-The-Top หรือการให้บริการสตรีมเนื้อหาผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต) ไม่มีใบอนุญาต จาก กสทช.

และ กสทช. ยังไม่ออกแนวปฏิบัติ ว่าแพลตฟอร์ม OTT ต้องขอใบอนุญาต จาก กสทช. แตกต่างจากจาก ผู้ประกอบการ IPTV, ทีวีดาวเทียม และเคเบิลทีวี ที่ประกอบกิจการแบบใช้โครงข่าย ที่ต้องขอใบอนุญาต จาก กสทช. และมีแนวปฏิบัติ

แต่การประชุม คณะอนุกรรมการฯ ที่ มี ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง เป็นประธานได้แจ้งตรวจสอบ ทรูไอดี ที่เป็นแอปพลิเคชันบริการของเอกชน เพื่อตรวจสอบโฆษณาและเนื้อหาที่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่ชอบเข้าข่ายจงใจกลั่นแกล้ง ตามที่โจทก์ให้การ 

ปัญหาดังกล่าวสะท้อนถึงช่องว่างในการกำกับดูแลแพลตฟอร์ม OTT (Over-the-Top) เช่น ทรูไอดี ยูทูบ และเฟซบุ๊ก ซึ่งปัจจุบันยังไม่อยู่ภายใต้กฎหมายของ กสทช. แม้ว่าจะมีความพยายามออกกฎควบคุมบริการ OTT แต่แผนดังกล่าวต้องชะงักลงในปี 2566 เนื่องจากรอการพิจารณาโดย กสทช. นอกจากนี้ ประธาน กสทช. ยังระบุว่า การกำกับดูแล OTT อาจต้องใช้แนวทางที่แตกต่างจากทีวีดั้งเดิม เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้นำเสนอเนื้อหาผ่านอัลกอริทึมแบบเฉพาะบุคคล ไม่ใช่การแพร่ภาพแบบปกติ

อ่านข่าว : 

ด่วน! ศาลฯ สั่งจำคุก 2 ปี "พิรงรอง" ผิด ม.157 คดี True ID ฟ้อง

6 ก.พ.ลุ้นศาลตัดสินคดีทรูไอดียื่นฟ้อง "พิรงรอง" เวลา 09.30 น. 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง