คดีทรูดิจิทัลฟ้อง ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรณีออกหนังสือเตือนโฆษณาแทรกบนแอปพลิเคชัน True ID ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ผิดมาตรา 157 เข้าข่ายจงใจกลั่นแกล้ง เนื่องจากบริษัท ทรูดิจิทัล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ True ID เป็นกิจการ Over-the-top (OTT) หรือการให้บริการสตรีมเนื้อหาผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่มีใบอนุญาตจาก กสทช. และ กสทช.ยังไม่ออกแนวปฏิบัติว่าแพลตฟอร์ม OTT ต้องขอใบอนุญาตจาก กสทช. นั้น
วันนี้ (7 ก.พ.2568) นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ นักวิชาการด้านความมั่นคงไซเบอร์และเป็นอดีตกรรมการที่ร่างกฎหมาย กสทช. ให้สัมภาษณ์ "ไทยพีบีเอส" ว่า จากคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่เผยแพร่ออกมาว่าในส่วนแพลตฟอร์มที่เป็น OTT ไม่เคยมีการกำหนดว่าต้องขอใบอนุญาตแต่อย่างใด ดังนั้นกรณีที่มีคำสั่งก็อาจจะเป็นปัญหาว่ามีการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาลพิจารณา
อ่านข่าว : ย้อนไทม์ไลน์คดี "True ID" ฟ้อง "พิรงรอง"
ในมุมมองทางวิชาการ ตนเคยมีส่วนร่วมในเรื่องการร่างกฎ Must Carry ซึ่ง กสทช.มีอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 แต่ตอนที่ร่างกฎหมายในขณะนั้นยังไม่เข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบ
"ตอนที่ร่างในปี 2553 กับส่วนที่มีปัญหาเรื่อง Must Carry ขณะนั้นมองเรื่องเทคโนโลยีว่า การสตรีมมิงต่าง ๆ ที่ผ่านทางอินเทอร์เน็ต จะเป็นกรณีที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การออกอากาศโฆษณาแบบดั่งเดิม จึงมีการเขียนนิยามคำว่า "กิจการโทรทัศน์" ไว้ค่อนข้างกว้างใน พ.ร.บ.ที่จัดตั้ง กสทช. และให้อำนาจนี้"
เพราะฉะนั้นคำว่า "กิจการโทรทัศน์" เป็นกิจการที่บริการส่งข่าวสารสาธารณะ รายการต่าง ๆ โดยใช้ถ้อยคำกว้าง เพราะไม่ว่าจะส่งผ่านระบบคลื่นความถี่ ระบบสาย ระบบแสง ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า หรือระบบอื่นใด (กรณีที่ไม่ใช่คลื่นความถี่ก็ถือว่าเป็นกิจการโทรทัศน์) เป็นส่วนที่อยู่ในอำนาจ เพราะ กสทช.มีแบบฟอร์ม ปส. 10 ซึ่งเป็นแบบฟอร์มที่ให้แจ้งการเป็นผู้ให้บริการกระจายเสียงโทรทัศน์ผ่านเครือข่ายอื่นที่ไม่ใช่โครงข่ายแบบดั่งเดิม ซึ่งแบบนี้ ปส. 10 ก็คือ OTT
ดังนั้นในมุมการวิจารณ์เชิงวิชาการ OTT จะอยู่ในนิยามคำว่า "กิจการโทรทัศน์" อยู่แล้ว นี่คือข้อสังเกตทางวิชาการ
แต่คำถามคือ กสทช.มีอำนาจในการพิจารณา OTT หรือไม่ ต้องดูมาตรา 27 ของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ โดยใน (13) ระบุว่า กสทช.ทั้ง 7 คนมีหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมิให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบกิจการ รวมถึงกรณีที่มีการใช้คลื่นความถี่ที่อาจจะรบกวนความเป็นส่วนตัวหรือสิทธิเสรีภาพในการรับฟังข้อมูล
อ่านข่าว : กางกฎหมาย กสทช. บทบาทคุ้มครองผู้บริโภค
นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ นักวิชาการด้านความมั่นคงไซเบอร์
นักวิชาการด้านความมั่นคงไซเบอร์ ระบุว่า มาตรา 27 ใน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ จะเป็นประเด็นในเชิงวิชาการ ซึ่งประเด็นที่พิพาทในคดีนี้ไม่ได้เป็น OTT แบบ 100% แต่เป็นลักษณะที่ค่อนข้างคาบเกี่ยว แล้วจะมีอำนาจหรือไม่นั้น ถ้าในการตีความเชิงวิชาการ (13) ค่อนข้างชัด
และหากอ่านจากคำพิพากษา คู่ความในคดีมีการร้องเข้ามา ซึ่งหากดูกฎหมายฉบับนี้ กสทช. 7 คนมีอำนาจตามกฎหมายมหาชนคือ มาตรา 27 (13) ประกอบกับนิยามอยู่แล้ว ในกรณีที่มีผู้ร้องเข้ามาเป็นหน้าที่ของ กสทช.จะต้องพิจารณาว่าผิดหรือไม่และต้องมีคำวินิจฉัย แต่หากมีผู้ร้องเข้ามาแล้ว กสทช.ไม่พิจารณา ก็จะมีความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งคดีนี้มีการร้องเข้ามาแล้ว กสทช.พิจารณาและมีคำสั่งเตือน หากไล่ตามหลักวิชาการ พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้อำนาจ กสทช.ในการพิจารณา OTT แต่ OTT จะต้องขึ้นทะเบียนหรือไม่นั้น ไม่ได้มีกฎหมายบอกให้ขึ้นทะเบียน
เหตุที่ไม่ขึ้นทะเบียนเพราะ OTT มีแพลตฟอร์มในต่างประเทศและในประเทศ อย่างกรณี Netflix, Facebook หาก กสทช.จะควบคุมกำกับ OTT จะบังคับให้มาขึ้นทะเบียนได้อย่างไร ดังนั้นการจะออกระเบียบว่าต้องไปขึ้นทะเบียน OTT เป็นเรื่องยากเพราะต้องบังคับระหว่างประเทศ แต่กรณีในประเทศ หากเห็นว่าไม่เหมาะสม กสทช.ก็มีสิทธิที่จะดำเนินการใด ๆ ได้
หากดูประเด็นที่เกิดขึ้นตามข่าว ชัดเจนว่า กสทช.มีอำนาจในการที่จะพิจารณา OTT ได้ แต่ยังไม่มีหลักเกณฑ์ในเรื่องที่จะต้องมาขออนุญาต
เพราะฉะนั้นประเด็นในคดีคือ กสทช.มีอำนาจจริง แต่การออกหนังสือเตือน โดยหลักมีอำนาจในการเตือนหรือไม่ ซึ่งหากตีความทางวิชาการก็น่าจะมี แต่เป็นคนละประเด็นกับเรื่องขออนุญาต
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า แต่หาก กสทช.ไม่มีอำนาจจริง ๆ ก็มีคำถามว่าโลกอินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ OTT แม้แต่ Netflix, Facebook หรือทีวีต่าง ๆ มีข้อมูลผิดกฎหมายค่อนข้างมาก ที่ผ่านมา กสทช.เป็นเจ้าภาพดำเนินการปิดกั้นหรือตักเตือนผู้ให้บริการต่าง ๆ อยู่แล้ว
"ตรงนี้ก็มีข้อคิดในเชิงวิชาการว่า ถ้าในข้อมูลที่ผิดกฎหมาย ที่ผ่านมา กสทช.ใช้อำนาจตักเตือน และอำนาจในการตักเตือนใช่อำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ หรือไม่ ถ้าใช่ ในกรณีเดียวกัน สิ่งที่ต้องพูดคุยคือกรณีที่พิพาทนี้ กสทช.มีอำนาจหรือไม่ เป็นเรื่องน่าคิด เพราะหากดูจากมาตรา 27 ก็น่าจะใช้ได้"
นักวิชาการด้านความมั่นคงไซเบอร์ ย้ำว่า หากเดิม กสทช.มีการให้ขึ้นทะเบียนกิจการ OTT แล้วโดยการมีแบบแจ้งเข้ามา และที่ผ่านมามีการแก้ไขเรื่องข้อมูลที่ผิดกฎหมาย แสดงว่า OTT โดยหลักอยู่ภายใต้ กสทช. แต่ กสทช.อาจยังไม่รู้ว่าจะควบคุมระหว่างประเทศอย่างไร ดังนั้นการแก้ปัญหาเรื่องนี้ มองว่า กสทช.ควรใช้มาตรฐานของคดีนี้มาปรับว่าจริง ๆ แล้วจะดำเนินการอย่างไร เพราะถือเป็นประเด็นสำคัญ
อ่านข่าว
เปิดฉบับเต็มคำพิพากษาจำคุก 2 ปี "พิรงรอง" กับคำว่า "จะล้มยักษ์"
"สารี" งัด ม.27 "พิรงรอง" สู้เพื่อผู้บริโภคไม่ได้อยาก "ล้มยักษ์"
กสทช.-ทีวีดิจิทัล ไปต่ออย่างไร? ถึงเวลาคุม OTT แก้ กม.ล้าหลัง
"หมอลี่" มองอนาคต การทำหน้าที่ของ "กสทช." หลังศาลฯพิพากษา "พิรงรอง"