เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางไปชมการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ว่า จะขึ้นภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมทุกชนิดที่จะนำเข้าสู่สหรัฐฯ ร้อยละ 25 เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของประเทศ โดยเฉพาะ ยู.เอส. สตีล ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก
คำสั่งนี้จะมีผลต่อทุกประเทศ ต่างจากวาระแรกของทรัมป์ที่แม้จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กร้อยละ 25 และอะลูมิเนียมร้อยละ 10 แต่ยังให้โควตายกเว้นภาษีแก่หลายประเทศ รวมทั้งแคนาดาและเม็กซิโก โดยการลงนามคำสั่งนี้เดิมมีกำหนดจะเกิดขึ้นเวลา 13.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ หรือเวลาประมาณ 01.00 น.ที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย แต่เลื่อนออกไป โดยทำเนียบขาวไม่ได้แจ้งเหตุผล
ขณะที่ท่าทีนานาชาติต่อมาตรการนี้ของทรัมป์ระหว่างที่ยังรอรายละเอียด โดยประธานาธิบดีเม็กซิโก ระบุว่า เพิ่งทราบเรื่องภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมใหม่จากสื่อเป็นครั้งแรก ซึ่งเม็กซิโกจะรอดูรายละเอียดก่อนที่จะแสดงท่าทีใด ๆ ตอบโต้
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhTpDiMj6l0hm5NXpkV5suibEND0.jpg)
ด้านคณะกรรมาธิการยุโรป ระบุว่า มองไม่เห็นเหตุผลสำหรับท่าทีครั้งนี้และจะตอบโต้เพื่อปกป้องธุรกิจ แรงงานและผู้บริโภคจากมาตรการที่ไม่มีเหตุผล แต่จะรอดูรายละเอียดก่อน ส่วนจีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ เลิกใช้ประเด็นเศรษฐกิจและการค้าเป็นอาวุธและนำมาเล่นเกมการเมือง
ส่วนมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ของจีน มีผลบังคับใช้มื่อวันที่ 10 ก.พ. หลังประกาศแผนนี้เมื่อวันที่ 4 ก.พ.เพียงไม่กี่นาทีหลังจากแผนขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้า 10% กับสินค้าจีนทั้งหมดมีผลบังคับใช้
ภาษีนำเข้าล่าสุดของจีนที่เรียกเก็บกับสินค้าสหรัฐฯ รวมถึงภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลวนำเข้าจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีการเก็บภาษี 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร และรถยนต์เครื่องยนต์ขนาดใหญ่จากอเมริกา นอกจากนี้จีนยังกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกโลหะหายาก 25 ชนิด ซึ่งบางชนิดเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและยุทโธปกรณ์ทางทหารจำนวนมาก
ทรัมป์เปลี่ยนชื่อ "อ่าวเม็กซิโก" เป็น "อ่าวอเมริกา"
เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน (Air Force One) ประกาศแจ้งผู้โดยสาร ซึ่งรวมถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และคณะสื่อมวลชน ให้มองไปยังด้านขวาของตัวเครื่องขณะที่เครื่องบินได้บินอยู่เหนือน่านน้ำสากล โดยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เครื่องบินลำนี้บินอยู่เหนือน่านน้ำที่เพิ่งถูกเปลี่ยนชื่อจากอ่าวเม็กซิโก (Gulf of Mexico) มาเป็นอ่าวอเมริกา (Gulf of America)
การเดินทางข้ามอ่าวอเมริกาของประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้ เริ่มต้นที่ฟลอริดาโดยมีจุดหมายที่เมืองนิว ออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา เพื่อชมการแข่งขัน Super Bowl 59 ซึ่งทรัมป์ถือเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่เดินทางไปชมการแข่งขันนี้ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhTpDiMj6l0hm5NZODVDMDcueeUQ.jpg)
การประกาศนี้มีขึ้นก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะลงนามคำสั่งประกาศให้วันที่ 9 ก.พ.เป็นวันอ่าวอเมริกา หรือ Gulf of America Day ระหว่างที่เครื่องบินบินอยู่เหนืออ่าว หลังการลงนาม Doug Burgum รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยแห่งสหรัฐฯ ที่ได้ร่วมเดินทางครั้งนี้ด้วย ประกาศว่าได้แจ้งผู้ให้บริการแผนที่ Google Maps, Apple Maps รวมถึงรายอื่น ๆ แล้วว่าการเปลี่ยนชื่อมีผลตั้งแต่บ่ายวันที่ 9 ก.พ.ตามเวลาท้องถิ่น
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา Google Maps ได้ประกาศว่าจะเปลี่ยนชื่อจากอ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา เมื่อใช้งานแผนที่ในอเมริกา แต่หากใช้งานในเม็กซิโกชื่ออ่าวยังคงเป็นอ่าวเม็กซิโกเช่นเดิม
ผู้พิพากษาขวางคำสั่งยกเลิกให้สัญชาติโดยกำเนิด
ขณะที่ประเด็นนโยบายผู้อพยพ นโยบายยกเลิกสิทธิการได้รับสถานะพลเมืองโดยกำเนิดของทารกที่เกิดในแผ่นดินสหรัฐฯ ของทรัมป์ ถูกผู้พิพากษาสั่งระงับเป็นครั้งที่ 3 โดยผู้พิพากษาศาลแขวงใน Concord, New Hampshire สั่งระงับคำสั่งบริหารของทรัมป์ชั่วคราว ตามคำร้องของหน่วยงานภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นท่าทีเดียวกับผู้พิพากษาจากแมริแลนด์และรัฐวอชิงตันที่ออกคำสั่งเดียวกันไปก่อนหน้านี้
ภายใต้คำสั่งดังกล่าวของทรัมป์ หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ยอมรับสถานะพลเมืองของเด็กที่เกิดในสหรัฐฯ หากไม่มีพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นพลเมืองอเมริกัน หรือเป็นผู้มีถิ่นพำนักถาวรในสหรัฐฯ ทำให้ทารกที่เกิดในสหรัฐอเมริกานับจากวันที่ 19 ก.พ.เป็นต้นไป จะไม่ได้รับสิทธิ์ในการเป็นพลเมืองสหรัฐฯ โดยอัตโนมัติ และอาจถูกเนรเทศ รวมถึงไม่ได้รับสิทธิ์ในการออกเลขประจำตัวประกันสังคม ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhTpDiMj6l0hm5NWTRdwp039YGLN.jpg)
"ทรัมป์" สั่งเลิกผลิตเหรียญ 1 เซนต์ อ้างไม่คุ้มทุน
อีกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลัง "ทรัมป์" ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัย 2 โดยได้สั่งการให้กระทรวงการคลังและโรงกษาปณ์ยุติการผลิตเหรียญ 1 เซนต์ใหม่ อ้างต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่าสหรัฐฯ ผลิตเหรียญ 1 เซนต์ที่มีต้นทุนมากกว่า 2 เซนต์มานานเกินไป
อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์มีอำนาจยกเลิกเหรียญ 1 เซนต์ได้หรือไม่ เนื่องจากข้อกำหนดเกี่ยวกับเงินตรา รวมถึงขนาดและส่วนประกอบโลหะของเหรียญ ถูกกำหนดโดยรัฐสภา
เหรียญ 1 เซนต์เริ่มออกใช้โดยรัฐบาลครั้งแรกในปี 1793 ปัจจุบันประกอบด้วย ทองแดง 2.5% กับสังกะสี 97.5% ซึ่งสาเหตุที่ต้นทุนสูงกว่ามูลค่าเหรียญ (มากกว่า 2 เซนต์ต่อเหรียญ) เนื่องจากราคาวัตถุดิบโลหะที่สูงขึ้น ต้นทุนการผลิต (แรงงาน พลังงาน กระบวนการผลิต) รวมถึงค่าขนส่งและกระจายเหรียญไปยังธนาคารต่าง ๆ
เดิมเหรียญนี้ทำจากทองแดงล้วน แต่เนื่องจากราคาทองแดงสูงขึ้นจึงเปลี่ยนมาใช้สังกะสีเป็นส่วนประกอบหลักในปี 1982 และชุบทองแดงแทน แม้จะเปลี่ยนส่วนผสมแต่ต้นทุนการผลิตก็ยังสูงกว่ามูลค่าของเหรียญ ซึ่งสหรัฐฯ ยังคงต้องผลิตเหรียญนี้เพื่อรักษาระบบเงินตราย่อย แม้จะขาดทุนในการผลิต
ผู้สนับสนุนการใช้เหรียญ 1 เซนต์โต้แย้งว่า ช่วยควบคุมราคาสินค้าให้ต่ำลงและเป็นแหล่งรายได้ขององค์กรการกุศล แต่หลายคนแทบไม่ได้ใช้เหรียญเหล่านี้ ซึ่งหากมีการยกเลิก แนวคิดหนึ่งคือการปัดตัวเลขสุดท้ายของราคาทั้งหมดให้เป็นศูนย์
อ่านข่าว
"ทรัมป์" ต่อสายคุย "ปูติน" หารือยุติสงครามยูเครน