ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง" ไทยรอดพ้น "ผู้แพ้" สงครามโลกครั้งที่ 2

ต่างประเทศ
26 ก.พ. 68
16:37
333
Logo Thai PBS
"ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง" ไทยรอดพ้น "ผู้แพ้" สงครามโลกครั้งที่ 2
อ่านให้ฟัง
24:13อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
เนื่องในโอกาสการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 "ครบรอบ 80 ปี" เป็นวาระอันดีที่ "การเจรจา" ของไทยให้รอดจากสถานะ "ผู้แพ้" หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของไทย ในฐานะประเด็นที่ไม่เคยถูกเล่า (Untold Story) บางอย่าง จะหวนกลับมาให้ประชาชนชาวไทย "ทำความเข้าใจ" อีกครั้ง

ประเด็นใน "ประวัติศาสตร์การเมืองไทย" ส่วนใหญ่แล้ว มักให้ความสนใจไปที่ "การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475" ในฐานะฮีโร่ผู้ "แจกประชาธิปไตย" ให้แก่ประชาชน การเมืองยุคผู้นำเผด็จการ เช่น "จอมพล แปลก พิบูลสงคราม" "จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์" หรือ "จอมพล ถนอม กิตติขจร" กระทั่ง "สถาบันการเมือง" เช่น "วุฒิสภา" "องค์กรอิสระ" หรือ "ภาคประชาสังคม"

แต่มีจำนวนน้อยมาก ที่จะให้ความสนใจ "การเจรจา" ของไทยให้รอดจากสถานะ "ผู้แพ้" หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้ไทย "รักษาเอกราชและอำนาจอธิปไตย" ของประเทศไว้ได้ ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งมังค่า แม้จะเคยเข้าร่วมกับ "ญี่ปุ่น" ในฐานะ "อักษะ" และประกาศสงครามกับ อังกฤษ และสัมพันธมิตร ก็ตาม

เนื่องในโอกาสการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 "ครบรอบ 80 ปี" เป็นวาระอันดีที่ประวัติศาสตร์ "ที่ไม่เคยถูกเล่า (Untold Story)" บางอย่าง จะหวนกลับมาให้ประชาชนชาวไทย "ทำความเข้าใจ" ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช และการเสียสละของบรรพบุรุษไทย อีกครั้ง ในฐานะ การรอดพ้นสถานะผู้แพ้ของไทย เป็นเพราะ "ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง"

"มายาคติ" ไทย "ไม่แพ้" สงครามโลกครั้งที่ 2

ThaiPBS Online สัมภาษณ์ รศ.ดร.พีระ เจริญวัฒนนุกูล รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้แต่งหนังสือ ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง: ความบังเอิญของไทยในการเอาตัวรอดจากอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเคยได้รับรางวัล "วิจัยแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2567"

รศ.ดร.พีระ กล่าวว่า จริง ๆ สามารถสรุปได้ง่าย ๆ เลยว่า ไทยรอดจากสถานะผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่สองได้ เป็นเพราะ "ปาฏิหาริย์ (Miracle)" หลักฐานเอกสารชั้นความลับ (Confidential Archives) เช่น บันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรี บันทึกการประชุมสภาฯ หรือ เอกสารลับจากสหรัฐอเมริกา และ อังกฤษ บ่งชี้ไปในทิศทางนั้นทั้งหมด

รศ.ดร.พีระ มีความตั้งใจที่จะลบล้าง "มายาคติ" การอธิบายเหตุการณ์ไทยรอดอย่างเหลือเชื่อนี้ก่อน เริ่มจาก การอธิบายอะไรด้วยปาฏิหาริย์ มักไม่เป็นที่ยอมรับของหลักวิชาสังคมศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ เพราะดูเหมือนว่าจะ "ไร้เหตุผล"

ยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมติว่า กำลังมีความตั้งใจที่จะเดินไปที่อาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ แต่อยู่ ๆ เกิดหิวขนมปังเบเกิลขึ้นมา หลังจากนั้น เครื่องบินที่ผู้ก่อการร้ายจี้พุ่งชนตึก การรอดตายนี้ จะอธิบายว่ามาจากเงื่อนไขเชิงโครงสร้างหรือไม่ หรือจะอธิบายว่าปาฏิหาริย์กันแน่

แต่การอธิบายการเจรจาหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองของไทย ส่วนใหญ่มักจะหาเหตุผลมารองรับทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายว่าไทยรอดมาได้ด้วย "การทูตไผ่ลู่ลม (Bamboo Diplomacy)" รอดมาได้ด้วย "ขบวนการเสรีไทย (Free Thai)" หรือรอดมาได้ด้วย "ความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา (US Assistance)" ซึ่งผู้คนก็เชื่อโดยปราศจากเงื่อนไขมาช้านาน

อ่านข่าว: สัญญะการเมือง "พิธีสาบานตน" ทรัมป์ เกมมหาอำนาจ "เขย่าโลก"

ตรงนี้ รศ.ดร.พีระ มีความเห็นต่าง เพราะการประกาศสันติภาพ วันที่ 16 ส.ค. พ.ศ. 2488 หรือเป็น "วันสันติภาพ" ในเวลาต่อมา มีปมปัญหาที่น่าสงสัยอยู่หลายประการ ประการหนึ่ง ถ้าหากว่าการประกาศสันติภาพแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้จริง เพราะเหตุใดไทยจึงลงนามในสัญญายุติสถานภาพสงครามในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489

ประการต่อมา คือ การเดินสวนสนามในวันที่ 25 ก.ย. พ.ศ. 2488 ไม่มีทหารสัมพันธมิตรเข้าร่วมแม้แต่กองทัพเดียว ประหนึ่งกองทัพไทยเดินกันเอง แต่ในการเดินสวนสนามในช่วง 17-19 มกราคม พ.ศ. 2489 กลับมีชาวต่างชาติเข้ามาร่วมด้วย

ตามหลักการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การกระทำใด ๆ จะเป็นผล ต้องมีการยอมรับ (Recognition) จากประเทศอื่น ๆ เสียก่อน ดังนั้น การประกาศสันติภาพ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หรือ การเดินสวนสนามในวันนั้น (25 กันยายน พ.ศ. 2488) จึงน่าสงสัยอย่างมากว่า ประเทศสัมพันธมิตรยอมรับสถานะไทยเป็นฝ่ายเดียวกันหรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น รศ.ดร.พีระ ยังชี้ปัญหาเพิ่มเติมว่า "การเมืองโลกแท้จริงโหดร้าย" การที่ไทยรอดสถานะ "ผู้แพ้สงคราม" มาได้ "ง่าย ๆ" เป็นไปได้จริงหรือไม่ ไทยเป็นรัฐขนาดเล็ก (Small State) ในสากลโลก มีอำนาจต่อรองมากมายถึงขนาดที่ทำให้อังกฤษ ในฐานะคู่ขัดแย้ง เปลี่ยนใจได้หรือไม่

หากประเทศไทยหาญกล้า ประกาศสงคราม แต่กลับรอดได้ง่าย ๆ ปราศจากบทลงโทษใด ๆ โดยใช้เพียง ลิ้นสยาม (Siamese Talk) หรือ กลเม็ดทางการทูต โลกนี้คงจะไม่มีผู้แพ้สงครามเกิดขึ้น

อ่านข่าว: ประชาธิปไตย "กินได้" การเมืองต้อง "ปลูกฝัง" ตั้งแต่เด็ก

รศ.ดร.พีระ จึงเสนอให้พิจารณา "กระบวนการคิดและตัดสินใจ (Decision-making)" ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการเจรจา ได้แก่ ไทย อังกฤษ และสหรัฐฯ ว่ามี "ผลประโยชน์ (Interest)" ที่ต้องการและต้องปกปักษ์อย่างไร ซึ่งสามารถสรุป ได้ดังนี้

  • ไทย - ต้องการรอดจากการเป็นผู้แพ้สงคราม ด้วยการได้รับความเสียหายทางการเมืองและเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด

  • อังกฤษ - ต้องการลงโทษไทยบางประการ เช่น การยุบกองทัพ และข้าว 1.5 ล้านตัน จากไทย เพื่อไปเลี้ยงดูผู้คนในอาณานิคมบริทิชราช (พื้นที่ปัจจุบัน คือ อินเดีย ศรีลังกา และ เมียนมา)

  • สหรัฐฯ - แบ่งรับแบ่งสู้ ไม่อยากให้ไทยได้รับการลงโทษ แต่ก็ไม่อยากเสียมิตรไมตรีกับอังกฤษ จึงไม่ออกตัวช่วยเหลือตั้งแต่แรก

โดยการเจรจา "โมฆะสงคราม" เกิดขึ้นทั้งหมด 3 ครั้ง ได้แก่

  • ครั้งที่ 1 เจรจาที่แคนดี ประเทศศรีลังกา วันที่ 2-8 ก.ย. พ.ศ.2488

  • ครั้งที่ 2 เจรจาสถานที่เดียวกัน วันที่ 25 ก.ย. - 17 ต.ค. พ.ศ.2488

  • ครั้งที่ 3 เจรจาที่สิงคโปร์ 10-31 ธันวาคม พ.ศ.2488

ทั้งหมดนี้ ต้องจำลองความคิดก่อนว่า ตัวแสดงต่าง ๆ ตัดสินใจโดย "ไม่ทราบผลลัพธ์" อย่างที่เราทราบ ไม่ว่าหวยจะออกแบบไหน ไม่ทราบว่า "อนาคต" ในตอนนั้นจะเป็นไปในทิศทางใด เมื่อคิดเช่นนี้ สิ่งที่ทำให้ไทยรอดพ้นวิกฤตการณ์มาได้ จึงไม่สามารถอธิบายสิ่งอื่นใดนอกเหนือจาก "ปาฏิหาริย์" ได้เลยทีเดียว

อ่านข่าว: "Soft Power" เกาหลีใต้ "รัฐหนุน-นายทุนนำ" เคล็ดลับความสำเร็จ

"ปาฏิหาริย์ครั้งแรก" ไทยเกือบหลับ แต่กลับมาได้

การเจรจาครั้งแรก รศ.ดร.พีระ ชี้ว่า อังกฤษ "จ้องจะเล่น" ไทยอย่างหนัก โดยสนับสนุนให้ไทยรีบประกาศสันติภาพ "ฝ่ายเดียว" เพื่อสร้างเงื่อนไขให้มาเจรจาทวิภาคีนอกรอบ เนื่องจาก อังกฤษไม่ยอมรับการกระทำของไทยดังกล่าว

โดยตัวละครสำคัญ คือ มาเบอร์เลย์ เดนิง (Maberley Dening) เป็นหัวหน้าทีมเจรจาของอังกฤษ เพราะได้ร่างสัญญา 21 ข้อ เพื่อจะมัดมือชกให้ไทยลงนาม โดยเฉพาะ ประเด็นการยุบกองทัพ หากจะตั้งใหม่ ต้องให้อังกฤษเห็นชอบ รวมถึง ไทยต้องจัดหาข้าว 1.5 ล้านตัน เพื่อให้อังกฤษนำไปเลี้ยงประชาชนในอาณานิคมบริทิชราช (พื้นที่ อินเดีย ศรีลังกา และ เมียนมา ในปัจจุบัน)

หมอนี่ฉลาดสุด ๆ บอกเลย นอกจากจะร่างสัญญาที่หากไทยลงนามแล้ว ไม่ต่างอะไรจากเมืองขึ้น ยังกันท่าสหรัฐฯ ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยว โดยการเจรจาลับหลังได้อีกด้วย

ทีมเจรจาที่ "ผู้สำเร็จราชการ" ส่งไป (หนึ่งในนั้นมี ป๋วย อึ๊งภากรณ์) อ่านสัญญาแล้ว ไม่กล้าลงนาม เพราะหากลงนามไป จะถือว่า "ขายชาติ" อย่างแน่นอน เนตร เขมะโยธิน ถึงกับออกอาการว่า หากพลั้งเผลอลงนามในสัญณานี้ไป "ไม่ผิดอะไรกับการยอมเป็นทาสไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง"

ดังนั้น ทีมเจรจาของไทย จึงมีโทรเลขกลับมาถามฝ่ายบริหารของไทย ซึ่ง "ทวี บุณยเกตุ" นายกรัฐมนตรีในตอนนั้น ได้รับคำสั่งให้ลงนามจาก "ผู้สำเร็จราชการ" ด้วยเหตุผลที่ว่า "ถ้าไม่รับ Term อ่อนอย่างนี้ จะรับ Term แรงหรือ" หมายความว่า บรรดาฝ่ายบริหารคิดว่า สัญญา 21 ข้อที่อังกฤษให้ลงนามนั้นเป็น "การล่อ" สถานเบาที่สุดแล้ว หากไม่รีบลงนาม เกรงว่าจะมีการลงโทษมากกว่านี้ตามมา

รศ.ดร.พีระ กล่าวว่า แต่เดชะบุญ ที่สหรัฐฯ ดันรู้เข้า ว่าอังกฤษต้องการตลบหลัง ยื่นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และมีผล "ทางการเมือง" ต่อไทย ทั้งที่สหรัฐฯ ก็เคยออกโรงเตือนแล้วว่า ไม่ให้ทำแบบนั้น เพราะไม่ต้องการสร้างอาณานิคมขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มเติม ทำให้สองมหาอำนาจ ต้องไปเจรจากันนนอกรอบก่อน ไทยจึงรอดมาได้อย่าง "ปาฏิหาริย์"

"ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช" ตัวแปร "เจรจา" ด้วยกลยุทธ์ "เตะถ่วง"

ในการเจรจาครั้งแรก ถือว่าไทยรอดมาได้ "อย่างไม่คาดคิด" ขนาดที่ พลโท ศักดิ์ เสนาณรงค์ หนึ่งในทีมเจรจา กล่าวว่า "ใจจะเซ็น แต่มีเหตุให้รอดไป" ทำให้ไทยยังคงไม่ตกเป็นทาสแก่อังกฤษ แสดงให้เห็นว่า ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง เป็นครั้งแรก

แต่ รศ.ดร.พีระ เสนอว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญของการเจรจาครั้งถัดมา อยู่ที่ การขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เชื้อเจ้าการศึกษาดี ผู้นำเสรีไทยสายสหรัฐฯ รวมถึงเป็นผู้ก่อตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของไทย อีกด้วย

"หลายคนให้น้ำหนักไปที่เสรีไทยว่าช่วยให้ไทยรอด ต้องกล่าวว่า จริง ๆ เสรีไทยมีความรักชาติมาก แม้จะเป็นลูกหลานชนชั้นนำ ไม่ต้องมาเสี่ยงก็ได้ แต่อังกฤษกลับไม่ได้ให้ราคามากมายอะไร"

จากหลักฐานชั้นความลับ รศ.ดร.พีระ จึงชี้ชัดว่า ม.ร.ว.เสนีย์ คือ "จุดเปลี่ยน" ในการเจรจาครั้งที่ 2 เพราะอังกฤษ แม้จะไม่แยแสเสรีไทย แต่กลับแสดงความกังวลออกมาชัดเจน จากความสัมพันธ์อันดีของ ม.ร.ว.เสนีย์ กับสหรัฐฯ กลัวว่าจะดึงสหรัฐฯ ให้เข้ามาแทรกแซง ทั้งบุคลิกส่วนตัว ที่ ม.ร.ว.เสนีย์ เรียนจบกฎหมาย มี "คูเหลี่ยม" สารพัด ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ม.ร.ว.เสนีย์ ก็ไม่ทราบอย่างแท้จริงว่า สหรัฐฯ จะช่วยเหลือหรือไม่

อังกฤษจึงกีดกันทุกวิถีทาง โดยการเหลี่ยมกลับ เพิ่มสัญญาผูกมัดเป็น 51 ข้อ และตกลงกับสหรัฐฯ ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวใด ๆ ได้สำเร็จในการเจรจาครั้งที่สอง

วิธีการเจรจาของไทยเปลี่ยนไป ภายหลังการมาของ ม.ร.ว.เสนีย์ เพราะใช้กลยุทธ์ เตะถ่วง ดึงดันไม่ยอมลงนามสัญญาที่ผูกมัดตนเองเช่นนี้ โดยการอ้างมติสภา เพื่อยื้อเวลาในการเจรจาออกไปให้นานที่สุด

ทั้งนี้ มนุษย์เรามีขีดจำกัดด้านความอดทน เดนิง ถึงกับควันออกหูจากกลยุทธ์ "เตะถ่วง" ในครั้งนี้ แสดงความไม่พอใจออกมา โดยให้ทีมเจรจาของไทย ไปตกลงกันให้เรียบร้อยเสียก่อน ระหว่าง "ผู้สำเร็จราชการ" หรือ "นายกฯ" ควรทำตามบัญชาของใครกันแน่ และขอให้เลิกอ้างวีรกรรมของเสรีไทยเสียที เพราะจำนวนการเสียชีวิต เทียบไม่ได้กับขบวนการกู้ชาติในฟิลิปปินส์ หรือ เกาหลี ทั้งยังไม่มีฝีมือมากพอที่จะรบพุ่งอย่างจริงจังได้

ทีมเจรจาครั้งที่สอง นำโดย ม.จ.วิวัฒนไชย ไชยยันต์, เสริม นินิจฉัยกุล รวมถึง "พลโท พระยาอภัยสงคราม" ได้โทรเลขกลับมาให้ ม.ร.ว.เสนีย์ พิจารณา กระนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ยังยืนกรานที่จะใช้กลยุทธ์เดิม คือประวิงเวลา แต่หากถึงที่สุดจริง ๆ "จะให้รบก็เอา"

แต่แล้ว อยู่ ๆ เดนิง ต้องไปปฏิบัติราชการในชวา (อินโดนีเซีย) เพื่อจัดการปัญหาการลุกฮือของชนเผ่าท้องถิ่น ต้องยุติการเจรจาไว้ก่อน ไทยจึงรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ "ครั้งที่สอง" เรื่องนี้ พลโท พระยาอภัยสงคราม หนึ่งในทีมเจรจา อธิบายไว้ว่า "อาจเป็นพระบุญของประเทศไทย หรือเพราะมีพระพุทธศาสนาเป็นที่ยึดมั่นก็อาจเป็นได้"

กระนั้น เวลาก็ล่วงมาถึงการเจรจาครั้งที่สาม เปลี่ยนมาคุยกันที่สิงคโปร์ หนนี้ อังกฤษเข้าหา "ปรีดี พนมยงค์" ผู้สำเร็จราชการที่มีความตั้งใจจะลงนามในสนธิสัญญาผูกมัดตนเองอย่างแรงกล้ามาตั้งแต่สองครั้งก่อน ตรงนี้ รศ.ดร.พีระ เสนอว่า ม.ร.ว.เสนีย์ อาศัยกลยุทธ์ "ยุบสภา" จากเหตุการณ์ พรบ อาชญากรสงคราม ส่วนหนึ่งเพื่อซื้อเวลาในการเจรจาเพิ่มขึ้นอีก 90 วัน เพื่อจัดการเลือกตั้ง สส.ใหม่ ทำให้อ้างได้ว่า บ้านเมืองไม่มีผู้แทน ลงความเห็นในสัญญาไม่ได้

ทั้งนี้ เกิดความไม่ลงรอยอย่างหนักในการประชุม ครม. เพราะกลยุทธ์ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ขัดกับ ผู้สำเร็จราชการ อย่างชัดเจน ดังที่โต้แย้งในการประชุม ครม. ครั้งพิเศษ วันที่ 12-13 ธ.ค. พ.ศ. 2488

แต่ทางเสียเราก็มีหวังอยู่ว่าถ้าประวิงได้จนกว่าสภาฯ เปิดใหม่อาจจะมีอะไรแซกแซง หรืออเมริกาจะทำเป็นผลสำเร็จก็ไม่รู้ … เมื่ออย่างนี้ถ้าไม่ยอมเซ็นอาจจะทำให้ฐานะดีขึ้น เพราะเวลานี้ต่ำที่สุดแล้ว … ถ้าเรายินยอมเขาก็จะประนามว่าโง่ แล้วจะถกเถียงตลอดชาติว่านี่ยอมเซ็นสัญญาผูกมัดตัวเอง แล้วที่ห่วงที่สุดไม่รู้จะยุติแค่ไหน เป็นข้อที่วิตกเหลือเกิน

แต่ด้วย "จำนวนที่น้อยกว่า" ทำให้การลงความเห็นว่าจะลงนามสัญญากับอังกฤษ เป็นฝ่ายหลังที่ชนะไป ด้วยคะแนน 12 ต่อ 2 มีที่ไม่ลงนามอีกหนึ่ง คือ พระยาอรรถการีนิพนธ์ ที่ให้ความเห็นว่า "ในการที่อังกฤษจะใช้อำนาจปกครองบ้านเมืองให้ท้องที่บางแห่งเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของเรามากเหลือเกิน ข้อนี้ยอมไม่ได้ ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมจะปฏิบัติตามที่สภาฯ ว่าแล้ว ไม่เซ็น"

เมื่อแพ้ด้วยจำนวน ม.ร.ว.เสนีย์ จึงดิ้นรนอย่างหนักในการดึงสหรัฐฯ เข้ามาช่วยเหลือ จากการปล่อย "ข่าวลับ" ให้กับสื่อมวลชนสหรัฐฯ ให้เสียงไปถึงหูของคนใหญ่คนโต อันที่จริงแล้ว สหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะเข้าแทรกแซงก่อนที่การเจรจาระหว่างไทยกับอังกฤษจะเป็นข่าวแล้ว สหรัฐฯ จากที่สงวนท่าทีมานาน ได้ออกโรงปกป้องไทยแบบตรงไปตรงมา

เพียงแต่ สมัยนั้น การสื่อสารยังไม่รวดเร็ว การที่สหรัฐฯ ให้การช่วยเหลือ โทรเลขเจ้ากรรม ดันส่งช้า ทำให้ ทีมเจรจา ทำตามมติ ครม. ว่าจะลงนามสัญญากับอังกฤษ ในวันที่ 14 ธ.ค. พ.ศ. 2488 กระนั้น ในวันที่ 15 ธ.ค. พ.ศ. 2488 เดนิง เมื่อรับทราบเจตจำนงของไทย จึงได้โทรเลขกลับไปหารัฐบาลอังกฤษเสียก่อน และในวันที่ 16 ธ.ค. พ.ศ. 2488 ม.จ.วิวัฒนไชย ได้รับร่างสัญญา พร้อมกับตัดพ้อกลาย ๆ ว่า "คาดว่าคงทัดทานยาก"

แต่จนแล้วจนรอด ในวันที่ 17 ธ.ค. พ.ศ. 2488 ร่างสัญญาก็ยังไม่มาถึงมือทีมเจรจาไทยเสียที ก่อนที่ วันที่ 19 ธ.ค. พ.ศ. 2488 เอกสารสัญญาที่ส่งมา จะปรับเปลี่ยนเนื้อหาทั้งหมด การมอบข้าว 1.5 ล้านตัน หรือการครอบครองดินแดน ไม่มีอีกต่อไป ทั้งหมดทั้งมวลนั้น เป็นเพราะสหรัฐฯ เข้าแทรกแซงการเจรจา ในช่วงระหว่าง 17-19 ธ.ค. พ.ศ. 2488

ปรีดี พนมยงค์ ถึงกับกล่าวว่า "นี่ขอขอบใจอเมริกาอย่างถึงที่สุด ไม่รู้จะหาทางใดขอบใจ" และยังได้ตอบรับการจัดงานเดินสวนสนามฉลองสันติภาพอีกครั้ง ภายหลังจากการลงนาม ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อยุติสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย (Formal Agreement for the Termination of the State of War between Siam and Great Britain and India) ในวันที่ 1 ม.ค. พ.ศ. 2489 และมี มติ ครม. ออกมาว่า วันดังกล่าวเป็นวัน "สิ้นสุดสงคราม" อย่างแท้จริง

ม.ร.ว.เสนีย์ ยังแสดงออกถึงความน่าเหลือเชื่อของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

ข้าพเจ้าเชื่อในปาฏิหาริย์ ข้าพเจ้ามองว่าเป็นปาฏิหาริย์และเป็นความช่วยเหลือของพระสยามเทวาธิราช … ในวันที่ 13 ธ.ค. พ.ศ. 2488 ข้าพเจ้าเปรียบเสมือนคนไร้ความหมาย ไร้จุดหมายที่จะมองออกไปข้างหน้า ทว่า พระสยามเทวาธิราช ในพระบรมหาราชวังสร้างปาฏิหาริย์สำหรับข้าพเจ้า ประเทศเราได้รับสนธิสัญญาที่ปลอดภัยและมีเกียรติ อีกทั้ง กองกำลังต่างชาติยังออกจากประเทศภายในหนึ่งปีเช่นกัน

"หลักฐานอันเงียบงัน" อะไรดี "โชว์" อะไรแย่ "เก็บไว้"

ดังจะเห็นได้ว่า เจตนาของทีมเจรจาไทย "ตั้งใจจะลงนาม" มาโดยตลอด แต่มีการทัดทานจาก ม.ร.ว.เสนีย์ ที่จริง ๆ แล้ว "กระต่ายขาเดียว" ไม่มีฐานทางอำนาจเทียบเท่า "ผู้สำเร็จราชการ" แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา กลับเหนือความคาดหมาย สัญญาอังกฤษที่จะผูกมัด เป็นอันตีตกไป นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ ถึงสามครั้งสามครา

รศ.ดร.พีระ ชวนคิดว่า อดีตไม่ใช่ "ถุงมือธานอส" ที่จะดีดนิ้วทีเดียวและหายไป แต่ในการเล่าถึงประเด็นการเจรจายุติสงครามของไทยในตอนนั้น กลับมีบันทึกที่กล่าวถึงน้อยมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น ปรีดี พนมยงค์ ในหนังสือ "โมฆสงคราม" ที่เคลมว่าเป็นบันทึกความทรงจำที่สมบูรณ์ที่สุด กลับไม่กล่าวถึงกระบวนการเจรจาใด ๆ หรือ ดิเรก ชัยนาม ในหนังสือ "ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง" ที่มีความหนากว่า 800 หน้า กลับกล่าวถึงการเจรจาเพียง "หน้าเดียว" เท่านั้น

ใครเห็นก็ว่าแปลก การเจรจาครั้งยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกลับกล่าวถึงน้อยมาก ๆ แบบนี้ ขัดทุกหลักวิชาการ ต้องมีอะไรบางอย่างแอบแฝงแน่ ๆ

รศ.ดร.พีระ ยังเสนอเพิ่มเติมว่า หลายคน "ใช้อดีตเป็นเครื่องมือ" ดังนั้น หากผู้อ่านมี "Critical Thinking" อย่างแท้จริง ต้องอ่านให้รอบด้าน ต้องรู้เท่าทัน "หลักฐานอันเงียบงัน (Silent Evidence)" หมายถึง รูปแบบการวางพล็อตที่นำเสนอแต่อะไรดี ๆ ส่วนอะไรที่ไม่ค่อยดี จะต้อง "เลี่ยงบาลี" หรือ "ฝังกลบ" เอาไว้โดยเจตนา

พล็อตบางอย่าง ไม่สอดคล้องกัน ไปด้วยกันไม่ได้ อย่างการเจรจายุติสงครามของไทย เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะรอดจากเงื้อมมือมหาอำนาจได้ง่าย ๆ เรื่องที่คิดว่าคนทำกันเสียเกร่อแล้ว เมื่อนำมาตรวจสอบใหม่ ก็อาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ใหม่ได้ … รัฐศาสตร์ จึงเป็นการศึกษาอดีต เพื่อตอบโจทย์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ ในหนังสือ ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง: ความบังเอิญของไทยในการเอาตัวรอดจากอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หากผู้ใดสนใจอ่าน ให้ข้ามบทที่ 1 ไปเลย เพราะ รศ.ดร.พีระ ตั้งใจเขียนเป็นส่วนของ "ทฤษฎี (Theory)" ให้ไปอ่าน บทที่ 2-6 แทน จะเห็นการคลี่คลายปมปัญหาต่าง ๆ และกระบวนการเจรจายุติสงครามของไทย รวมถึง "กึ๋น" ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ที่มีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรมทางสัญญาที่อังกฤษยื่นมาให้

"นีล เฟอร์กูสัน (Niall Ferguson) นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง เคยกล่าวว่า สิ่งที่เราเรียกว่าอดีต เคยเป็นอนาคตมาก่อน ผู้คนในอดีต ไม่รู้ว่าอนาคตของพวกเขาเป็นอย่างไรไม่มากไปกว่าที่พวกเราจะรู้อนาคตของพวกเราเอง สิ่งที่พวกเขาทำได้ คือ การพิจารณาความเป็นไปได้ของอนาคต" รศ.ดร.พีระ ทิ้งท้าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง