ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ครป.ชี้นายกฯ ทำผิด ม.157 ปล่อย ปธ.กสทช.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบมากว่า 8 เดือน

การเมือง
8 มี.ค. 68
20:35
1,389
Logo Thai PBS
ครป.ชี้นายกฯ ทำผิด ม.157 ปล่อย ปธ.กสทช.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบมากว่า 8 เดือน

วันนี้ (8 มี.ค.2568) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และรักษาการเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวสรุปประเด็นการอภิปรายในเวที “ทุนผูกขาดกับการแทรกแซงองค์กรภาครัฐ : ชำแหละ กสทช. และข้อเสนอจากภาคประชาชน” ว่า

1.กรณีคดี ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. นั้น คำพิพากษาฉบับสมบูรณ์มีทั้งสิ้น 25 หน้า มี 12 หน้าเป็นการบรรยายฟ้องของโจทก์ และมีคำวินิจฉัยของศาล 12 หน้า ปรากฏข้อความที่ตรงกันทั้งหมดรวม 3 หน้า และมีการกล่าวถึงคำให้การต่อสู้ของจำเลยเพียง 1 ย่อหน้าเท่านั้น

มีคำถามสำคัญหลายเรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่ได้พิจารณา โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า การออกหนังสือ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของสำนักงาน กสทช. ตามคำสั่งแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และการมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนคณะกรรมการ กสทช. โดยคณะอนุกรรมการ ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือดังกล่าว

เมื่อคณะอนุกรรมการไม่มีอำนาจหน้าที่แล้ว จะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบได้อย่างไร และเหตุใดศาลจึงมีดุลพินิจว่า จำเลยเป็นผู้สั่งการ ทั้งที่พยานทั้งฝั่งโจทก์และฝั่งจำเลยให้การสอดคล้องกันว่าจำเลยมิได้สั่งการ เป็นต้น เรื่องคดีนี้จึงเป็นคดีที่มีความโน้มเอียงทางการเมือง (Politicize) และทางการทุน (State Capture)

2.ประเด็นจึงนำมาสู้เรื่องทุนผูกขาดแทรกแซงองค์กรภาครัฐ หรือที่เรียกว่าการยึดรัฐ (State Capture) และเกิดปรากฏการณ์การฟ้องปิดปากประชาชนขึ้น (SLAPP law)

การทำงานของประธาน กสทช. และคณะบางส่วนในคณะกรรมการชุดปัจจุบันนี้ ถูกครหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และไม่โปร่งใสหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพิจารณาการควบรวมกิจการของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ด้านโทรคมนาคม การอนุมัติงบประมาณให้กลุ่มทุนใช้เงินภาครัฐแสวงหาผลประโยชน์

การขัดมติบอร์ดยกเลิกหนังสือตอบกฤษฎีกา ตีความเรื่องคุณสมบัติ การแต่งตั้งรักษาการเลขาธิการ โดยไม่ใช้มติบอร์ดทั้งคณะ การพยายามรวบอำนาจของประธานและต่อสัญญาเจ้าหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะการแต่งตั้ง...ของเอกชนรายใหญ่ ที่มีส่วนได้เสียในการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. มาเป็น.....

สามารถเข้าถึงรายงานการประชุมทุกฉบับ ตามคำสั่งที่ ... มีการส่งคนของกลุ่มการเมือง และกลุ่มทุนเข้าไปเป็นกรรมการและเจ้าหน้าที่ในหลายระดับ เพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการของกลุ่มทุนขนาดใหญ่และนำไปสู่การผูกขาด

การฟ้องคดีกรรมการ กสทช. ในลักษณะนี้จึงเข้าข่ายการฟ้องปิดปาก (SLAPP Law) เป็นการฟ้องเพื่อหวังผลแพ้ชนะทางคดี เพื่อหวังผลข้างเคียงจากการดำเนินคดี เพื่อเข้าครอบงำเสียงข้างมากในการพิจารณาของ กสทช. หรือไม่

เพราะจุดประสงค์นอกคดีนี้ มีข้อครหาว่า ต้องการให้มีการสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช.บางคน เพื่อนำมาสู่เสียงพิจารณา 3/3 ที่เท่ากันตามกฎหมาย เพื่อให้ประธานออกเสียงชี้ขาดตามระเบียบ กสทช. ซึ่งจะกลายเป็นเสียงข้างมาก ในการพิจารณาการควบรวมหรืออนุมัติโครงการต่าง ๆ

ผลกระทบจากคดีนี้ จึงย่อมส่งผลต่อความเข้มแข็งจริงจังในการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และส่งผลให้ กสทช. ไม่สามารถทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะและประโยชน์สูงสุดของประชาชนตามมาตรา 60 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้

3.ประเด็นประธาน กสทช. ขาดคุณสมบัติ

เมื่อคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา วุฒิสภา วินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุดในวันที่ 28 พ.ค.2567 จึงมีมติที่ประชุมเห็นชอบ และให้นำเรียนประธานวุฒิสภา พิจารณาตามหน้าที่ และอำนาจตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ในส่วนนี้ผลการขาดคุณสมบัติและกระบวนการจึงสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่ที่ประธานวุฒิสภารับทราบ จึงมีการประกาศผลทางเว็บไซต์วุฒิสภาดังที่ปรากฏ รวมไปถึงกระบวนการตรวจสอบด้วย โดยนายกรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

และปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีได้เคยหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยมีหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0909/117 ลงวันที่ 16 ก.ย.2567 โดยชี้ให้เห็นถึงการมีอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา และการพ้นจากตำแหน่งทันที หากปรากฏว่า มีกรณีตามข้อร้องเรียนดังกล่าวเกิดขึ้นจริง

ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือประธานวุฒิสภาเห็นชอบ ให้กรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ ให้รีบดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อมิให้มีปัญหาข้อกฎหมายอื่นที่อาจเกิดขึ้น แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฎว่าประธาน กสทช. กลับยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด

หนังสือเปิดเผยรายงานการประชุมวิสามัญคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ในวันที่ 5 ก.ค.2567 ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา มีมติรับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว จึงเป็นการรายงานให้วุฒิสภาทราบ ตามข้อ 77 ส่งผลให้ผลการวินิจฉัยข้อเท็จจริง กระบวนการ และรายงานสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มิได้มีการโต้แย้งข้อเท็จจริงหรือกระบวนการใดในเรื่องดังกล่าวตลอดจนไม่เคยมีการบิดเบือนผลการสอบสวน

ดังนั้นทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ย่อมสามารถพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตามหน้าที่ และอำนาจได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องรอการดำเนินการของวุฒิสภาหรือสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแต่อย่างใด เท่ากับว่า ผลการวินิจฉัยของคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ สมบูรณ์และมีผลทางกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.2567 เป็นต้นมาส่งผลให้ประธาน กสทช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันที และต้องมีการตรวจสอบว่าผลการพิจารณาต่าง ๆ หลังวันที่ 5 ก.ค. เป็นโมฆะด้วยหรือไม่ และต้องคืนเงินเดือนและค่าตอบแทนทั้งหมด

เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี ถึงปัญหาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ในการดำรงตำแหน่งประธาน กสทช. ตามคุณสมบัติ มาตรา 8 พระราชบัญญัติ กสทช. แต่ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล กสทช. แต่ได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีทราบเรื่องดังกล่าวแล้วเป็นอย่างดี ตามรายงานข้อสรุปของคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ ที่ตรวจสอบเอกสารจากมหาวิทยาลัยมหิดล

ยืนยันว่า ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ เป็นพนักงานของมหาวิทยาลัย ในช่วงที่ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการ กสทช. อีกทั้ง ข้อมูลจากแบบ ภ.ง.ด.90 ซึ่งเป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงปี 2564-66 ซึ่งสรุปว่าขาดคุณสมบัติ ขัดต่อมาตรา 8 มาตรา 18 และมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ อย่างชัดเจน

คำถามคือ สำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินการหรือไม่อย่างไรกับประเด็นการขาดคุณสมบัติดังกล่าว หรือปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อ และนายกรัฐมนตรีได้มีการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่มาตรา 20 หรือไม่อย่างไรกับประเด็นการขาดคุณสมบัติดังกล่าว

4.ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี

มาตรา 20 พ.ร.บ.กสทช. เป็นอำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรี ต้องดำเนินการตรวจสอบรวบรวมหลักฐานส่งกองนิติการ สำนักงานองคมนตรี ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเป็นเรื่องโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามกฎหมาย อำนาจหน้าที่กองนิติการข้อ 2 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า การแต่งตั้งและพ้นตำแหน่ง วุฒิสภามีอำนาจช่วยตรวจสอบตามมาตรา 8 และมาตรา 18 ตามหนังสือตอบจากกฤษฎีกา ที่ นร 0909/117 ตอบนายก 16 ก.ย.2567 นายกรัฐมนตรีจึงต้องดำเนินการตามมาตรา 20 โดยทันที

การที่รองนายกฯ ตอบว่า นายกฯ ทราบเรื่องแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จ รู้แต่ไม่ทำ เท่ากับว่าปล่อยให้ประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยไม่มีอะไรรองรับ เพราะปกติเมื่อมีมูลหรือข้อเท็จจริงต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที แต่นายกฯ กลับปล่อยให้ทำโดยไม่มีผลการวินิจฉัยยืนยันแต่ประการใด รวมถึงหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ไม่ปรากฏคำวินิจฉัยว่าสามารถทำได้ หรือโต้แย้งผลกรรมาธิการเทคโนโลยีฯ แต่ประการใด

นายกฯ จึงมีความผิดสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากยังปล่อยให้ประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยไม่ทำอะไร จะเป็นการร่วมกันกระทำผิดปกปิดแล้วก้าวล่วงพระราชอำนาจ

ครป. เคยยื่นหนังสือติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค.2567 ถึงเลขาธิการสำนักงาน กสทช. ยื่นรายงานการตรวจสอบของวุฒิสภาถึงสำนักงานองคมนตรี เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2567 และยื่นนายกรัฐมนตรีซ้ำ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2567 ขอให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามมาตรา 20 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ที่นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ตามกฎหมาย

หากปล่อยไว้อาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายมาตรา 157 โดยตรง นายกรัฐมนตรีจึงควรเร่งดำเนินการ ส่งผลการตรวจสอบของวุฒิสภา ไปยังสำนักงานองคมนตรีเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยข้อเท็จจริ งประเด็นดังกล่าวต่อไป

แต่ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรียังไม่ดำเนินการใด ๆ โดยปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมากว่า 8 เดือน เรื่องนี้ ถ้ามีการร้อง ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรีอาจหลุดจากตำแหน่งได้เลย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง