ปัจจุบันจะเห็นว่า คนทั่วโลก เริ่มแต่งงานช้าลง ไม่มีลูก แต่หันมาให้ความรักกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ยอมทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อเหล่านายท่าน ทั้งน้องหมา-แมวทั้งหลายให้กินดีอยู่ดี สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2567 ตลาดการดูแลสัตว์เลี้ยงทั่วโลก มีมูลค่ากว่า 324,190 ล้านเหรียญสหรัฐ

และคาดว่าปี 2568 - 2576 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่7.03% หรือมีมูลค่าตลาด 597,510 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2576 (ที่มา: Precedence Research) สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงยังคงเป็นขยายตัวอย่างต่อเนื่องแม้ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่แค่ไหน แต่เหล่าลูกรักต้องอยู่รอด “ทาสยอมอดแต่เจ้านายต้องได้กิน”
สนค.วิเคราะห์ ว่า ชาวจีนนิยมเลี้ยงหมา-แมวเพิ่มขึ้น ปี2567 ดันให้ตลาดโตถึง 41,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ความต้องการอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น ซึ่งมีทั้งตลาดแบบกลุ่มพรีเมียมและราคาประหยัด

ตลาดอาหาร "หมา-แมว" โตพุ่ง 4.1 ล้านดอลลาร์
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวว่า ปี2567 ตลาดผู้บริโภคสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว)ในจีนมีมูลค่าสูงถึง 41,900 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.5% โดยตลาดของสุนัข เพิ่มขึ้น 4.6% และตลาดแมว เพิ่มขึ้น 10.7%
และอาหารสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง คิดเป็นสัดส่วน 52.8% ของการบริโภคทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงในปี2567 โดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นซัปพลายเออร์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ที่สุดในจีน ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 69% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวจีนยังคงนิยมอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมจากสหรัฐฯ

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
สำหรับอาหารสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า อาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงอาหารแห้ง อาหารกึ่งชื้น ขนม และอาหารเสริม มีสัดส่วนเฉลี่ย 56.1% ของโครงสร้างตลาด และเฉพาะปี 2567 ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงมีมูลค่า 22,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.2% แต่ถ้าดูตั้งแต่ปี 2557-2567 ตลาดนี้มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี ที่ 22.4%
นอกจากนี้ปี 2566 เจ้าของสัตว์เลี้ยงในจีนมีจำนวนถึง 106 ล้านคน ส่วนใหญ่มาจากเมือง First Tier City และ Third Tier City ลงไป สัดส่วนเจ้าของสัตว์เลี้ยงในเมือง First Tier City อยู่ที่ 29% ขณะที่ในเมือง Third Tier City ลงไปอยู่ที่ 30%

โดยปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองที่มีสัดส่วนเจ้าของสัตว์เลี้ยงประเภทสุนัขสูงที่สุด ขณะที่กว่างโจวและปักกิ่ง มีสัดส่วนเจ้าของแมวสูงที่สุด และจำนวนสัตว์เลี้ยงทั้งหมดในจีน ในปี 2024 อยู่ที่ 124.1 ล้านตัว โดยหลัก ๆ แบ่งเป็นแมว 71.5 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 2.5% และสุนัข 52.6 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 1.6%
แมวเหมียว ครองใจทาสดันส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไทยพุ่ง
ด้านนางสาวนันท์นภัส งามแม้น ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงของจีนและโอกาสการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย พบว่ามีความต้องการของผู้เลี้ยงสัตว์เพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้บริโภคอาหารสัตว์อย่าง อาหารแมวเริ่มมีจำนวนมากกว่าอาหารสุนัข

สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคจีนให้ความนิยมกับการเลี้ยงแมวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองว่าแมวต้องการการดูแลกลางแจ้งน้อยกว่าและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนในเมือง ซึ่งต้องเผชิญข้อจำกัดด้านเวลาทำงานและพื้นที่อยู่อาศัย และความนิยมอาหารสัตว์ กลุ่มเจ้าของสุนัข นิยมอาหารแห้งอบ อาหารแช่แข็ง และอาหารสดเพิ่มขึ้น และกลุ่มเจ้าของแมวนิยมอาหารแห้งอบ และอาหารสด เพิ่มขึ้น
ขณะที่ความนิยมในอาหารแช่แข็ง และอาหารที่ผ่านการอัดขึ้นรูป ลดลง โดยผู้บริโภคได้พัฒนาไปสองขั้ว คือ ตลาดอาหารสัตว์ระดับพรีเมียม เพราะตระหนักถึงโภชนาการและสุขภาพของสัตว์เลี้ยง และราคาประหยัด เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสัตว์ แต่ยังต้องการอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพ รวมทั้งนิยมซื้ออาหารสัตว์ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เช่น Taobao , Tmall และ JD.com แต่ TikTok ก็มีอัตราการเติบโตมากขึ้น

เติบโตของผู้เลี้ยงสัตว์ และตลาดอาหารสัตว์ในจีนดังกล่าว ถือเป็นโอกาสดีของผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย ทั้งการเจาะกลุ่มอาหารสัตว์พรีเมียม หรือกลุ่มอาหารสัตว์ราคาประหยัด โดยต้องพัฒนานวัตกรรมการผลิตและมาตรฐานของสินค้าให้ตอบสนองความต้องการ ซึ่งมั่นใจว่าจะขยายตลาดได้เพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบัน ไทยส่งออกอาหารสัตว์ไปจีนติด Top 3 และยังเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทย ควรพิจารณากลยุทธ์ที่เหมาะสม นอกจากผลิตสินค้าให้ดี มีมาตรฐานแล้ว เช่น การยกระดับคุณภาพสินค้าในกลุ่มราคาประหยัด หรือการเน้นเรื่องความแตกต่างในตลาดพรีเมียม และใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำตลาด ก็จะทำให้ขยายการส่งออกได้มากขึ้น

เทรนด์สุขภาพ "สัตว์เลี้ยง"ผลิตภัณฑ์มาแรง
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดการดูแลสัตว์เลี้ยงทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น อาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง และบริการ ปี 2567 มีมูลค่ากว่า 324,190 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าระหว่างปี 2568 - 2576 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี อยู่ที่ 7.03% หรือมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 597,510 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2576 (ที่มา: Precedence Research)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
ขณะที่มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงทั่วโลก ในปี 2567 อยู่ที่ 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าระหว่างปี 2568 - 2577 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 5.6% หรือ มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 6,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ปี 2577 ตลาดคาดว่าจะเติบโต เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตราการเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก ควบคู่ไปกับแนวโน้มที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
จากการศึกษาล่าสุดในช่วงปี 2566 – 2567 พบว่า 66% ของประชากรของสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยง ในกลุ่มเจ้าของสัตว์เลี้ยง 50% นิยมซื้อสินค้าจากร้านค้าแบบดั้งเดิม และสองในสามของเจ้าของสัตว์เลี้ยงคำนึงถึงสัตว์เลี้ยงของตนเมื่อตัดสินใจด้านการเงิน (ที่มา: Global Market Insights)

ผอ.สนค. กล่าวอีกว่า สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากเทรนด์ที่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanisation) และมีการพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับNeed Statesหรือความจำเป็นตามสภาวะ ในสุขภาพสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม
โดยจัดประเภทความต้องการของสัตว์เลี้ยงตามช่วงวัย ตั้งแต่การพัฒนากระดูกในสัตว์เลี้ยงวัยอ่อน ไปจนถึงการช่วยเพิ่มความคล่องตัวสำหรับสัตว์เลี้ยงสูงวัย ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญในการการปรับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง (ที่มา: Euromonitor)

ไทย "เบอร์ 6 "โลก ส่งออกอาหาร "หมา-แมว"
ทั้งนี้ปี 2567 ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง (พิกัด 230910 และ 230990) อันดับ 6 ของโลก มูลค่าการส่งออก 3,004 ล้านเหรัยญสหรัฐ ขยายตัว23.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี และมาเลเซีย มูลค่าการส่งออกสินค้าดังกล่าวของไทย คิดเป็นสัดส่วน 6.74% ของการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก
สำหรับประเทศผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง 5 อันดับแรกของโลก ได้แก่ เยอรมนี มูลค่า 4,991 ล้านเหรียญสหรัฐ ,เนเธอร์แลนด์ มูลค่า 4,348 ล้านเหรียญสหรัฐ ,สหรัฐอเมริกา มูลค่า 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ,ฝรั่งเศส มูลค่า 3,644 ล้านเหรียญสหรัฐ และ จีน มูลค่า 3,095 ล้านเหรียญสหรัฐ (ที่มา: Global Trade Atlas)

อย่างไรก็ตาม สนค. มองว่า เฉพาะอาหารสุนัขและแมว ในปี 2567 ไทยส่งออกอาหารสุนัขและแมว เป็นมูลค่า 2,686.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 94,344.5 ล้านบาท ขยายตัว 28.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกสำคัญของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รองลงมาเป็น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี และมาเลเซีย
ในปี 2567 ไทยได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมวอันดับที่ 2 ของโลก รองจากเยอรมนี และในปี 2566 ไทยอยู่อันดับที่ 4 รองจากเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา โดยมีสัดส่วน5.5% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารสุนัขและแมวทั่วโลก ขณะที่เยอรมนี ผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมวอันดับที่ 1 ของโลก มีสัดส่วน 6.8%

"ต้นทุนต่ำ" ส่งออกอาหารพรีเมี่ยม "สัตว์เลี้ยง"
สำหรับจุดแข็งสินค้าอาหารสัตว์ไทย คือ มีต้นทุนทางการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งที่สำคัญ โดยเฉพาะต้นทุนด้านแรงงาน อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญในการผลิต เนื่องจากการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงบางส่วนขยายกิจการ เพิ่มสายการผลิตมาจากการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง ทำให้ผู้ผลิตสามารถต่อยอดความเชี่ยวชาญทั้งด้านการผลิตและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการเพิ่มสายการผลิตยังช่วยลดต้นทุนการผลิต (Economies of Scope) ถือได้ว่า ไทยเป็นผู้ผลิตหลักสินค้าสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง
นอกจากนี้ FTA เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการขยายการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย โดยปัจจุบันสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยทุกรายการไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าใน 15 ประเทศที่ไทยมี FTA ได้แก่ ประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง มีเพียงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่ยังคงการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในบางรายการสินค้า

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การเจาะตลาดอาหารสัตว์ที่ภาคเอกชน และรัฐบาลต้องให้ความสำคัญ คือ พัฒนาสินค้าเก่ารุกตลาดดาวรุ่ง เร่งขยายการส่งออกไปจีน ปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับที่ 2 ของจีน รวมถึงการเพิ่มสินค้าระดับพรีเมี่ยม เน้นวัตถุดิบภายในประเทศ
โดยตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็น "ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมี่ยม" เปลี่ยนการส่งออกที่เน้นแข่งขันด้วยราคา แต่ให้ความสำคัญต่อคุณค่าทางอาหารที่สูงขึ้น พร้อมยกระดับมาตรฐานให้สามารถเป็น ที่ปรึกษาด้านธุรกิจสัตว์เลี้ยง และต่อยอดการขยายตลาดไปยังประเทศที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ประเทศจีน ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นการบริโภคและขยายโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่กว้างขึ้น
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมความหวังของไทยที่จะช่วยให้การส่งออกไทยขยายตัวตามเป้าที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ 2-3% ท่วมกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวนและอยู่บนความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของประเทศต่างๆ
อ่านข่าว:
สนค.ปักหมุดสินค้าไทยรุกตลาดจีน เปิดคิดค้า Briefingเจาะลึกรายมณฑล
3 ปีสงครามรัสเซีย-ยูเครน "ความหวัง-สันติภาพ" ดันเศรษฐกิจไทย
มาตรการภาษีสหรัฐฯ เขย่าส่งออกไทย กกร.ห่วงศก.ไทยเผชิญเสี่ยงสูง