20 ม.ค.2568 โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯ สมัยที่ 2 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในพิธีที่เต็มไปด้วยผู้สนับสนุน โดยเขาได้ย้ำถึงนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) ที่เคยเป็นจุดขายหลักตั้งแต่สมัยแรก (2560-2564)
ทรัมป์ระบุชัดเจนว่าจะใช้มาตรการภาษีนำเข้าเป็น "เครื่องมือหลัก" ในการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ลดการขาดดุลการค้า และจัดการปัญหายาเสพติดกับผู้อพยพผิดกฎหมาย ในวันเดียวกัน เขาเซ็นคำสั่งบริหารแรกในฐานะประธานาธิบดี โดยสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จัดทำรายงานเกี่ยวกับนโยบายการค้าและข้อเสนอแนะเรื่องภาษีภายในวันที่ 1 เม.ย.2568 เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการดำเนินนโยบายต่อไป
เราจะไม่ยอมให้ประเทศอื่นเอาเปรียบเราอีกต่อไป
คำสั่งนี้สะท้อนถึงความเร่งด่วนของทรัมป์ในการเริ่มต้นนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายที่มุ่งเน้นการกดดันคู่ค้าหลักอย่างจีน แคนาดา และเม็กซิโก
1 ก.พ.2568 : ประกาศขึ้นภาษีรอบแรก
ทรัมป์ประกาศผ่านโฆษกทำเนียบขาวว่า จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตราร้อยละ 25 และจากจีนร้อยละ 10 โดยใช้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ อ้างว่าการลักลอบนำเข้าเฟนทานิล และผู้อพยพผิดกฎหมายจากชายแดนเป็น "ภัยคุกคามฉุกเฉิน" ตามอำนาจของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) มาตรการนี้ถูกกำหนดให้มีผลทันทีในวันที่ 4 ก.พ. แต่หลังจากการเจรจาระดับสูงกับแคนาดาและเม็กซิโก ทั้ง 2 ประเทศได้รับการผ่อนผันชั่วคราว 30 วัน ขณะที่ภาษีจีนยังคงเริ่มตามกำหนด
การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อสินค้าทุกประเภทจากจีน รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อิเล็กทรอนิกส์และเสื้อผ้า ส่วนแคนาดาและเม็กซิโกได้รับคำมั่นว่าจะเพิ่มการควบคุมชายแดนเพื่อลดการไหลเข้าของยาเสพติด
- อดีตนายกฯ จัสติน ทรูโด ของแคนาดา เรียกประชุมฉุกเฉินและประกาศแผนเก็บภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 107,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะทยอยบังคับใช้ เช่น เหล็กกล้า อลูมิเนียม และสินค้าเกษตร
- ปธน.เม็กซิโก ออกคำแถลงว่าจะตอบโต้ "ในระดับที่เหมาะสม" โดยเล็งเป้าไปที่สินค้าส่งออกหลักของสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดและเนื้อหมู
- กระทรวงพาณิชย์จีนยื่นฟ้องต่อ WTO ทันที และเพิ่มภาษีสินค้าสหรัฐฯ เช่น ถ่านหินร้อยละ 15 ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ร้อยละ 15 และน้ำมันดิบร้อยละ 10 มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา
อ่านข่าว : ใครได้-ใครเสีย ? นโยบายตั้งกำแพงภาษี สงครามการค้าทรัมป์ 2.0
4 ก.พ.2568 : ภาษีจีนเริ่มมีผล
มาตรการภาษีนำเข้าจากจีนร้อยละ 10 เริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเวลา 00:01 น. ตามเวลาสหรัฐฯ ครอบคลุมสินค้าทุกหมวดหมู่ มูลค่ารวมกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ /ปี ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในสหรัฐฯ เช่น โทรศัพท์มือถือและของเล่น มีแนวโน้มสูงขึ้นทันที
การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการเปิดศึกการค้ากับจีนสมัยที่ 2 ของทรัมป์ ต่อยอดจากสงครามการค้าในสมัยแรกที่เริ่มตั้งแต่ปี 2561
- จีนออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth Elements) ซึ่งสหรัฐฯ พึ่งพาในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และเพิ่มชื่อบริษัทสหรัฐฯ 2 ราย (PVH Group และ Illumina) เข้าสู่บัญชี "หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ" ห้ามทำการค้ากับจีน
อ่านข่าว : "ทรัมป์" สั่งพักขึ้นภาษี 1 เดือน แคนาดา-เม็กซิโก เล็งเจรจาเพิ่ม
27 ก.พ.2568 : ทรัมป์ยันขึ้นภาษีแคนาดา-เม็กซิโก
ทรัมป์ยืนยันผ่านการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวว่าจะเดินหน้าภาษีร้อยละ 25 กับแคนาดาและเม็กซิโกตามกำหนดวันที่ 4 มี.ค. พร้อมเพิ่มภาษีจีนอีกร้อยละ 10 (รวมเป็นร้อยละ 20) โดยระบุว่า "เราให้โอกาสแล้ว แต่พวกเขาไม่ทำตามสัญญาเรื่องชายแดน" การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังรายงานจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิระบุว่าการลักลอบนำเข้าเฟนทานิลยังคงสูงเกินเป้าที่ตกลงไว้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก โดยดัชนี S&P 500 ปิดลบร้อยละ 1.7 ซึ่งเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ ธ.ค.2567 เนื่องจากความกังวลต่อต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น
- แคนาดาเริ่มแคมเปญบอยคอตสินค้าสหรัฐฯ ในระดับประชาชน โดยเฉพาะสินค้าอย่าง โคคา-โคลา และ ผลิตภัณฑ์จากฟอร์ด
4 มี.ค.2568 : ภาษีแคนาดา-เม็กซิโกมีผล
มาตรการขึ้นภาษีร้อยละ 25 กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00:01 น. ตามเวลาสหรัฐฯ พร้อมกับภาษีจีนที่เพิ่มเป็นร้อยละ 20 ส่งผลกระทบต่อสินค้ามูลค่ากว่า 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น รถยนต์จากเม็กซิโกและน้ำมันจากแคนาดา มาตรการนี้ทำให้ราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคในสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นทันที โดยเฉพาะในรัฐที่พึ่งพาการนำเข้าจากทั้ง 2 ประเทศ
- เม็กซิโก ประกาศเก็บภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ เช่น ผลไม้และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- แคนาดา ออกมาตรการเฟสแรก มูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา (ราว 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เล็งเป้าไปที่สินค้าอย่างเหล็กและชีส
อ่านข่าว : ทรูโดจวกทรัมป์ "โง่เขลา" แคนาดาขึ้นภาษีตอบโต้ 3 หมื่นล้าน
6 มี.ค.2568 : ผ่อนผันบางส่วน
หลัง ปธน.สหรัฐฯ พบปะกับผู้บริหารจากบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ เช่น ฟอร์ด, GM และ สเตลลันติส ทรัมป์เซ็นคำสั่งยกเว้นภาษีชั่วคราวสำหรับสินค้ายานยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโกจนถึงวันที่ 2 เม.ย. รวมถึงผ่อนผันสินค้าที่สอดคล้องกับข้อตกลง USMCA (United States-Mexico-Canada Agreement) ซึ่งครอบคลุมการค้าประมาณร้อยละ 38 จากทั้ง 2 ประเทศ การตัดสินใจนี้เกิดจากแรงกดดันของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ระบุว่าภาษีจะกระทบ Supply chain ข้ามชาติอย่างหนัก
- แคนาดาตอบรับด้วยการยกเลิกแผนภาษีตอบโต้รอบสอง มูลค่า 87,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลดความตึงเครียด
- เม็กซิโกยังคงเดินหน้าภาษีบางส่วน
อ่านข่าว : "ทรัมป์" ระงับภาษีนำเข้าเม็กซิโก-แคนาดาบางส่วน 1 เดือน
12 มี.ค.2568 : ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมทั่วโลก
ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีร้อยละ 25 กับเหล็กและอะลูมิเนียมที่นำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก โดยใช้ Section 232 ของ Trade Expansion Act of 1962 อ้างถึงความมั่นคงแห่งชาติ มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.2568 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแคนาดา เนื่องจากเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ และเม็กซิโก
มาตรการนี้คล้ายกับนโยบายในสมัยแรกของทรัมป์ แต่คราวนี้ยกเลิกข้อยกเว้นทั้งหมดที่เคยให้ไว้กับบางประเทศ
- สหภาพยุโรป (EU) ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินที่กรุงวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ นำโดย นายกฯ โดนัลด์ ทัสก์ แห่งโปแลนด์ ระบุว่า "เราต้องหลีกเลี่ยงสงครามภาษีที่ไม่จำเป็น" EU เตรียมวางแผนตอบโต้ในสัปดาห์ถัดไป
- แคนาดา เพิ่มความเข้มข้นของการบอยคอตสินค้าสหรัฐฯ ในระดับประชาชน
อ่านข่าว : ทรัมป์เก็บภาษีเหล็ก 25% ทั่วโลก ลุ้นรัสเซียรับข้อเสนอหยุดยิง 30 วัน
14 มี.ค.2568 : ขู่ภาษีไวน์และสุรายุโรปร้อยละ 200
ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 200 กับไวน์ คอนญัก และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรป เขาระบุว่าเป็นการตอบโต้แผนของ EU ที่จะเก็บภาษีวิสกี้อเมริกันร้อยละ 50 ในเดือน เม.ย. ซึ่ง EU เองก็ตั้งใจตอบโต้ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ที่เริ่มเมื่อ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา
อุตสาหกรรมสุราข้อมูลปี 2566 สหรัฐฯ ส่งออกไป EU ราวร้อยละ 40 ของทั้งหมด ขณะที่ยุโรปส่งออกไวน์และสุราร้อยละ 31 มายังสหรัฐฯ การขู่ขึ้นภาษีร้อยละ 200 จะทำให้ราคาไวน์ฝรั่งเศสและคอนญักพุ่งสูงในสหรัฐฯ
- สหภาพยุโรป เตรียมมาตรการตอบโต้ มูลค่า 26,000 ล้านยูโร ครอบคลุมสินค้าหลากหลาย เช่น ไหมขัดฟัน เสื้อคลุมอาบน้ำ และ สินค้าอุปโภค
- เดนมาร์ก ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำเริ่มติด "ดาวสีดำ" บนสินค้ายุโรป เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น ซึ่งได้รับการตอบรับดีจากประชาชน
อ่านข่าว : 200% ภาษีแอลกอฮอล์! สหรัฐฯ-ยุโรป ปะทะเดือดสงครามการค้า
ทรัมป์ 2.0 : ใครได้ ใครเสีย ทางเลือกผู้บริโภค
- ได้ประโยชน์
- มาตรการภาษีร้อยละ 25 ของการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทั่วโลก และภาษีร้อยละ 200 ที่ขู่ใช้กับไวน์-สุรายุโรป มีเป้าหมายเพื่อปกป้องผู้ผลิตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมเหล็ก ยานยนต์ และเกษตรกรรม ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น จากราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้น ข้อมูลจาก American Economic Review ยกตัวอย่างจากสมัยแรกของทรัมป์ ที่ภาษีเครื่องซักผ้าช่วยสร้างงาน 1,800 ตำแหน่งในสหรัฐฯ
- สร้างรายได้ให้รัฐบาลสหรัฐฯ โดย Tax Foundation คาดการณ์ว่าภาษีจากแคนาดา เม็กซิโก และจีนในปี 2568 จะสร้างรายได้เพิ่ม 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ซึ่งอาจนำไปใช้ลดหนี้สาธารณะหรือสนับสนุนนโยบายอื่น
- Forbes รายงานว่า ประเทศที่ 3 เช่น เวียดนาม เพราะจะเกิดการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปเวียดนาม (เช่น Apple ย้ายการผลิต AirPods ในปี 2563) ทำให้เวียดนามได้ประโยชน์จากการหลีกเลี่ยงภาษีจีน
- เสียประโยชน์
- ผู้บริโภคชาวอเมริกัน นักเศรษฐศาสตร์จาก University of Chicago เห็นพ้องว่าผู้บริโภคสหรัฐฯ ต้องแบกรับภาระภาษีผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้น ข้อมูลจาก American Economic Review ชี้ให้เห็นว่าภาษีเครื่องซักผ้าในปี 2561 ราคาเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าเพิ่มขึ้น 86-92 ดอลลาร์/หน่วย ต้นทุนรวมต่อปีถึง 1,500 ล้านดอลลาร์ และการขึ้นภาษีแคนาดา-เม็กซิโกที่มากถึงร้อยละ 25 อาจทำให้ราคารถยนต์เพิ่มขึ้น 3,000 ดอลลาร์/คัน
- อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้า เช่น บริษัทยานยนต์ในสหรัฐฯ ที่ใช้ชิ้นส่วนจากจีน แคนาดา หรือเม็กซิโก จะต้องเผชิญต้นทุนสูงขึ้น กระทบกำไรและการจ้างงาน
- คู่ค้าหลัก (จีน, แคนาดา, เม็กซิโก, EU) ประเทศเหล่านี้เสียหายจากยอดส่งออกที่ลดลง จีนอาจสูญเสีย GDP ร้อยละ 0.68 ส่วน EU สูญเสียร้อยละ 0.11 การตอบโต้ด้วยภาษีของคู่ค้า เช่น จีนขึ้นภาษีถ่านหินสหรัฐฯ ร้อยละ 15 หรือ แคนาดาบอยคอตสินค้าสหรัฐฯ ยิ่งซ้ำเติมความเสียหาย
- ผู้บริโภคต้องทำอย่างไร
- เตรียมรับราคาที่สูงขึ้น เช่น รถยนต์ อาหาร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ Tax Foundation ประเมินว่าภาษีจากจีนอาจเพิ่มต้นทุนครัวเรือนละ 329 ดอลลาร์/ปี
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อ ไปเป็นการซื้อสินค้าท้องถิ่น ที่อาจช่วยลดผลกระทบ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่าผู้ผลิตในสหรัฐฯ มักมีพฤติกรรมปรับราคาขึ้นตามคู่แข่งนำเข้า ทำให้การ "ซื้อของอเมริกัน" หรือสินค้าท้องถิ่น อาจไม่ได้ช่วยมากนัก และอาจก่อนให้เกิดปัญหาการซื้อล่วงหน้าหรือกักตุนสินค้าขึ้นมาได้
- วางแผนทางการเงิน ผู้บริโภคต้องคอยติดตามสถานการณ์เนื่องจาก การเจรจาของทั้งทรัมป์และประเทศคู่ค้าที่ปรับเปลี่ยนได้ในแต่ละวัน
อ้างอิง : Taxfoundation, BBC, UChicago News, Reuters, The Guardian