วันนี้ ( 19 มี.ค.2568) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ พบว่า ภาคธุรกิจในช่วงเวลานี้ ต้องเผชิญกับสถานการณ์และแรงกระทบต่างๆ จากภายในและภายนอกประเทศ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายด้านการค้าและภาษีของประเทศมหาอำนาจต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูง และสถานการณ์ที่ผู้บริโภคต้องระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย ล้วนส่งผลให้ภาคธุรกิจชะลอการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการจดทะเบียนธุรกิจต่างๆ
ส่งผลให้เดือนก.พ.2568มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,529 ราย ลดลง 579 ราย หรือ ลดลง7.14%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และทุนจดทะเบียนรวม 16,335 ล้านบาท ลดลง 4,027 ล้านบาท หรือลดลง19.78% โดยธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 628 ราย มูลค่า ทุน 1,340 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 473 ราย ทุน 2,117 ล้านบาท ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 339 ราย ทุน 610 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.34%, 6.28% และ 4.50% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจ

ส่วนการจัดตั้งธุรกิจใหม่สะสม 2 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.พ.) มีจำนวน 16,391 ราย ลดลง 879 ราย หรือลดลง 5.09% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและทุนจดทะเบียน 41,285 ล้านบาท ลดลง 4,509 ล้านบาท หรือลดลง9.85
แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการส่งออกและเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตลอดจนคาดว่าจากสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและของโลกที่มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนหลักทั้งจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนของภาครัฐการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการ Easy E-Receipt การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว น่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ยอดการจดทะเบียนธุรกิจทั้งปี 2568 เติบโตได้ตามเป้าหมายที่กรมตั้งไว้ (90,000 - 95,000 ราย)

อธิบดีกรมพัฒน์ฯ กล่าวอีกว่า การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการพบว่า เพิ่มขึ้น 81 ราย หรือ11.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(706 ราย) ธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 76 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 35 ราย และ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 34 ราย รวม2 เดือน จดทะเบียนเลิก เพิ่มขึ้น 320 ราย หรือ16.86%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แม้ตัวเลขการจดทะเบียนนิติบุคคลช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาจะชะลอตัวเพื่อรอดูสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลก แต่หากวิเคราะห์ในเชิงลึกจะเห็นว่าอัตรา การจัดตั้งธุรกิจต่อการจดเลิกในปี 2568 อยู่ที่ 7:1 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่า 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567) ที่มีสัดส่วน 4:1 หรือตั้ง 4 ราย เลิก 1 ราย

สำหรับการลงทุนของต่างชาติ 2 เดือนแรก ปีนี้พบว่า เพิ่มขึ้น68% โดยต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 38 ราย คิดเป็น 21% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 13,676 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและ ทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเล ระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจบริการบริหารจัดการการสั่งซื้อและการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต
จีน 23 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 5,113 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

สิงคโปร์ 23 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,490 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนายางรถยนต์ ธุรกิจบริการ Data Center และ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
สหรัฐอเมริกา 19 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,372 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการสนับสนุนข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต

ฮ่องกง 16 ราย คิดเป็น 9% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,587 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้า สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุน 31% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 63% มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 17,546 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์
อ่านข่าว:
"จุลพันธ์" มั่นใจ "ซื้อหนี้ประชาชน" เกิดในรัฐบาลนี้
เทียบเปรียบแนวทางแก้หนี้เสีย ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ
ตลาดอาคารชุดเข้าสู่จุดหดตัว ทีทีบี ชี้ ทำเลใหม่เกิดยาก-กำลังซื้อลด