วันนี้ ( 26 มี.ค.2568) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดข้าวอินทรีย์โลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งมีความต้องการข้าวที่ปลอดภัยจากสารเคมีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้าวอินทรีย์ไทยจึงมีโอกาสเจาะตลาดเหล่านี้ได้มากขึ้น หากได้รับการพัฒนาและส่งเสริมอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์
ปัจจุบันเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลของสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (IFOAM) และ Research Institute of Organic Agriculture รายงานว่า พื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองทั่วโลกมี 96.4 ล้านเฮกตาร์ หรือ602.5 ล้านไร่ ประเทศที่มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์มากที่สุด คือ ออสเตรเลีย มีพื้นที่ปลูก331.3 ล้านไร่ คิดเป็น 55.0% ของพื้นที่เกษตรอินทรีย์ทั่วโลก
รองลงมา คือ อินเดีย และอาร์เจนตินา ส่วนตลาดอาหารและเครื่องดื่มอินทรีย์โลกมีมูลค่า 140.73 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดใหญ่ที่สุด ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และจีน มีมูลค่าตลาดอาหารและเครื่องดื่มอินทรีย์ เท่ากับ 61.1, 47.0 และ 12.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ

สำหรับไทยมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 241,497 เฮกตาร์ (1.51 ล้านไร่) อยู่อันดับที่ 33 ของโลก และเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย สินค้าสำคัญ คือ ข้าว ผัก และผลไม้อินทรีย์ ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญของไทย คือ สหรัฐฯ จีน อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ทั้งนี้ ภาพรวมการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยยังมีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปแบบการซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค และวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตในเขตเมืองเท่านั้น
เฉพาะสินค้าข้าวอินทรีย์ ตลาดข้าวอินทรีย์โลกปี 2567 มีมูลค่า 7,800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ263,320 ล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปี 2577 จะมีมูลค่าสูงถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ405,108 ล้านบาท สำหรับไทยมีการส่งออกกลุ่มข้าวอินทรีย์ในปี 2567 ปริมาณรวม 22,378 ตัน มูลค่า 31.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ1,095 ล้านบาทขยายตัว 32.0% เมื่อเทียบกับปี 2566 แบ่งเป็นข้าวหอมมะลิอินทรีย์ 72.1%

ข้าวกล้องอินทรีย์ (23.1%) ข้าวขาวอินทรีย์ (3.3%) และปลายข้าวอินทรีย์ (1.5%) สำหรับตลาดส่งออกข้าวอินทรีย์สำคัญของไทย ได้แก่ สหรัฐฯ (สัดส่วน 47.4%) อิตาลี (12.8%) สวิตเซอร์แลนด์ (6.1%) เนเธอร์แลนด์ (5.3%) และฝรั่งเศส (5.3%) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสินค้าคุณภาพสูงและมีมาตรฐานความยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์ถือเป็นสินค้าเกษตรสำคัญของไทยซึ่งกำลังถูกพัฒนาและส่งเสริมทั้งด้านการผลิตและการค้าเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใสใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม เกษตรกรควรมุ่งส่งเสริมด้านการสร้างแบรนด์ข้าวอินทรีย์ของไทยให้มีเรื่องราว (Brand Story) ชูเอกลักษณ์ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สร้างความแตกต่างจากประเทศคู่แข่ง และให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดความต้องการบริโภคข้าวไทยในวงกว้าง รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ของไทยให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีมาตรฐาน “Organic Thailand” ที่เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ รวมถึงหลายพื้นที่ปลูกยังได้รับการรับรองมาตรฐานสากล อาทิ IFOAM, USDA Organic, EU Organic และ JAS Organic เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดสำคัญได้
ผอ.สนค.กล่าวอีกว่า เป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการข้าวไทยที่จะปรับเปลี่ยนมาผลิตข้าวอินทรีย์ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก เนื่องจากมีการแข่งขันน้อยเมื่อเทียบกับการส่งออกข้าวทั่วไป อีกทั้งตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมสินค้ารักโลก ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งยังช่วยสร้างความหลากหลาย และขยายตลาดใหม่ให้กับสินค้าเกษตรของไทยอีกด้วย

ล่าสุด กรมการค้าต่างประเทศได้พาคณะผู้ส่งออกข้าว เยือนสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ประสบการณ์ทางด้านการค้า การลงทุน การขนส่ง และคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรระหว่างกัน โดยเฉพาะสินค้าข้าวที่แอฟริกาใต้นำเข้าจากไทยมากกว่าร้อยละ 90 และสินค้าปศุสัตว์อย่างเช่นเนื้อวัวและนกกระจอกเทศ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับต้นของแอฟริกาใต้
ส่วนการค้าไทย-แอฟริกาใต้ ในปี 2567 แอฟริกาใต้เป็นตลาดส่งออกสำคัญ อันดับที่ 23 ของไทย และเป็นตลาดส่งออกสำคัญ อันดับที่ 1 ในทวีปแอฟริกา (คิดเป็นร้อยละ 44.14 ของมูลค่าส่งออกไทยไปยังทวีปแอฟริกา รองลงมาคือ อียิปต์ เซเนลกัล ลิเบีย ตามลำดับ) โดยไทยส่งออกสินค้าไปยังประเทศแอฟริกาใต้ มูลค่า 3,065.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล และ ผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่ง ปี 2567 ไทยได้ดุลการค้าประเทศแอฟริกาใต้ มูลค่า 2,462.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อ่านข่าว:
“พาณิชย์” ขนทัพบิ๊กเอกชน รุกแอฟริกาใต้ ดันส่งออกข้าวไทย
"ทุเรียน" ยังครองแชมป์ส่งออก 2 เดือนนำรายได้เข้าไทยกว่า 4 พันล้านบาท
ปราบแก๊งคอลฯ กระทบการค้าชายแดน ฉุดส่งออกน้ำมันเมียนมาวูบ 61 %