หลัง กรุงเทพมหานคร เตรียมบังคับใช้กฎหมายใหม่ เพื่อควบคุมการเลี้ยง หรือ ปล่อยสัตว์ โดยกำหนดให้จำกัดจำนวนสัตว์เลี้ยงตามขนาดพื้นที่ และต้องจดทะเบียน ฝังไมโครชิปสัตว์เลี้ยง จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 ม.ค.2569 หากเจ้าของสัตว์ไม่ปฏิบัติตามมีโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้เลี้ยงและสัตว์เลี้ยง
- เลี้ยงสัตว์ใน กทม.ต้องรู้ กฎหมายใหม่ ควบคุมการเลี้ยง-ปล่อยสัตว์
- ทาส "หมา-แมว" พร้อมเปย์อาหารเกรด"พรีเมียม" ดูแล "สัตว์เลี้ยง"
กระแส สัตว์เลี้ยงเสมือนคนในครอบครัว โตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในช่วงหลัง กระแสการเลี้ยงสัตว์ในสังคมไทยก็เพิ่มมากขึ้น ตามที่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2567 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ แนวโน้มและรูปแบบการเลี้ยงสัตว์ของคนยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเสมือนคนในครอบครัว (Pet Humanization) ไปจนถึงการเลี้ยงสัตว์แบบเหล่าทาส (Petriarchy)ที่พร้อมจะใช้จ่ายให้สัตว์เลี้ยงอย่างเต็มกำลัง ทำให้เกิดการลงทุนในสุขภาพและความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงเหมือนคนจริง ๆ

สอดคล้องกับข้อมูลของ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ที่ระบุว่า แนวโน้มการดูแลสัตว์เลี้ยงของคนในยุคปัจจุบันมีรูปแบบการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มผู้ดูแลเดิมที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูแลสัตว์เลี้ยงของตนเอง และ กลุ่มเจ้าของสัตว์เลี้ยงมือใหม่ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงต่อตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ จากการ ประเมินค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว โดยเจ้าของจะมีภาระค่าใช้จ่ายเฉลี่ยราว 41,100 บ.ต่อตัวต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระที่จะมีค่าใช้จ่ายราว 7,745 บ.ต่อตัวต่อปี โดยมีค่าใช้จ่ายจากอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง ค่าดูแล รวมถึงอาหารที่น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ในบางกลุ่มเจ้าของอาจมีวิวัฒนาการสู่การเลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัวแบบตามใจ หรืออาจเรียกว่า “ทาสหมา-ทาสแมว” (Petriarchy) ซึ่งบนบริบทการเลี้ยงดูที่ตามใจ โดยสัตว์เลี้ยงเป็นผู้รับที่ไม่สามารถปฏิเสธของที่เจ้าของเลือกซื้อให้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเจ้าของเลือกที่จะซื้อของให้สัตว์เลี้ยงเพื่อตอบสนองความพอใจส่วนตน ย่อมส่งผลให้การจับจ่ายในส่วนของอุปกรณ์ และค่าดูแล มีทิศทางเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง

สัตว์เลี้ยงช่วยสร้างรายได้
นอกจากกระแสของ Pet Humanization และ Petriarchy แล้วในสังคมยุคปัจจุบัน สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจพัฒนาบทบาทจากลักษณะนิสัยส่วนตัว ที่สามารถยกระดับจาก “สมาชิกในครอบครัวปกติ” เป็น “สมาชิกในครอบครัวที่สามารถสร้างรายได้” ผ่านรูปแบบลักษณะเฉพาะของสัตว์เลี้ยงที่สามารถดึงดูดความสนใจจากคนในสังคมวงกว้าง หรือ Pet Celebrity และถูกพัฒนาเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีผู้ติดตามผ่านโซเชียลมีเดีย (Petfluencer)

ทั้งนี้ การเลี้ยงสัตว์ที่มีแนวโน้มเข้าสู่ “การเลี้ยงแบบครอบครัว-ที่ตามใจ-และสร้างรายได้” ส่งผลให้มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยขยายตัวต่อเนื่อง โดยทาง ttb analytics ประเมินมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยปี 2567 คาดมีมูลค่าแตะ 7.5 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 12.4 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

นอกจาก มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยที่ขยายตัวจากเทรนด์การเลี้ยงที่เปลี่ยนไปดังกล่าว รูปแบบการเลี้ยงนี้ยังส่งผลทางอ้อมไปยังธุรกิจและบริการที่สามารถรองรับมูลค่าที่ขยายตัวนี้ได้ เช่น กลุ่มโรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ธุรกิจรับฝึกสัตว์เลี้ยงให้กลายเป็น Petfluencer รวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับบริการรักษาสัตว์ที่อาจมีการขยายขอบเขตบริการ Veterinary Telemedicine หรือ Virtual Vet ที่อาจเข้ามาตอบโจทย์กรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยที่เจ้าของอาจไม่สะดวกเดินทางพาสัตว์เลี้ยงเข้ารับการรักษา เป็นต้น

คาดตลาดอาหารสัตว์ปี 67 มูลค่า 4.6 หมื่นล้าน
ขณะที่ กระแสการเลี้ยงสัตว์ก็ส่งผลต่อตลาดอาหารสัตว์ โดยข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2568 มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจะอยู่ที่ 46,000 ล้านบาท ขยายตัว 12% จากปีก่อน จากปริมาณความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนสัตว์เลี้ยง ขณะที่กำไรของธุรกิจคาดว่าจะยังเพิ่มขึ้น สอดคล้องไปกับยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงที่โตต่อเนื่อง

นอกจากนี้ พื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพื้นที่ศักยภาพของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากและผู้เลี้ยงมีกำลังซื้อสูงกว่าภูมิภาคอื่น โดยมีสัตว์เลี้ยงอยู่ราว 3.1 แสนตัว คิดเป็น 6% ของจำนวนสัตว์เลี้ยงทั้งหมด อีกทั้งคนในพื้นที่ยังมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนสูงกว่าคนทั้งประเทศ
ขณะที่การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยใน ปี 2568 คาดว่า มูลค่าการส่งออกจะอยู่ที่ 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 15% ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 28.4% จากความต้องการของคู่ค้าหลักที่โตช้าลง อาทิ สหรัฐฯ อิตาลี ญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 50% ขณะที่ การส่งออกไปยังตลาดรองคาดว่าจะขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอังกฤษและนิวซีแลนด์

การแข่งขันในตลาดส่งออกยังคงรุนแรง โดยเฉพาะกับคู่แข่งที่ได้เปรียบด้านราคาและระยะขนส่งที่ใกล้กับตลาดคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ไทยต้องเจอคู่แข่งอย่าง เม็กซิโก ที่มีข้อได้เปรียบในเรื่องระยะขนส่งที่ใกล้ หรือญี่ปุ่น ที่ไทยต้องแข่งกับเกาหลีใต้ ซึ่งได้เปรียบด้านราคา
อ่านข่าว : เลี้ยงสัตว์ใน กทม.ต้องรู้ กฎหมายใหม่ ควบคุมการเลี้ยง-ปล่อยสัตว์
"ธุรกิจสัตว์เลี้ยง" โตก้าวกระโดด สร้างรายได้-ทำกำไรระยะยาว
"สิงโต" ไม่ใช่สัตว์ป่าที่ทุกคนจะเลี้ยงได้