วันนี้ (24 เม.ย.2568) นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยภายหลังเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับนอมินีบริษัทก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มว่า ที่พบว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างถือหุ้นโดยนอมินีคนไทย ซึ่งทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สามารถติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้องได้บางคนแล้ว และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดีเอสไอ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สมอ. สถาบันเหล็กฯ สภาวิศวกร เข้ามาให้ข้อมูลกับกรรมาธิการฯ แล้ว
ดีเอสไอให้ข้อมูลว่า เชื่อว่าบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ใช้ "นอมินี" ในการถือหุ้น ซึ่งคณะกรรมาธิการได้เสนอแนะรัฐบาลมาโดยตลอดว่าธุรกิจนอมินีเมื่อมีการตั้งบริษัทและพยายามหลบเลี่ยงกฎหมาย โดยการหาผู้สวมสิทธิ์ถือหุ้นมีแนวโน้มที่จะทำผิดกฎหมาย โดยหยิบยกว่าในกรณีตึก สตง. ที่มีวิศวกรหลายคนแจ้งว่าถูกปลอมแปลงลายเซ็น ทำให้เกิดคำถามว่าการควบคุมงานก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานจริงหรือไม่
ในประเด็นนี้กรรมาธิการฯ ได้เสนอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งขยายผลตรวจสอบต่อไปเพราะไม่ต้องการให้ตึก สตง. เป็นเพียงตึกเดียวที่ถูกตรวจสอบ เนื่องจากมีอาคารจำนวนมากที่อาจมีผู้รับเหมาก่อสร้างที่เข้าข่ายนอมินีเข้ามาก่อสร้างในประเทศไทย
นายสิทธิพล ยังเปิดเผยว่า พบว่าฐานข้อมูลกลุ่มธุรกิจการค้ามีบริษัทลักษณะนี้จำนวนมาก หากย้อนไป 5 ปี พบว่ามีบริษัทตั้งใหม่ที่เป็นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีทุนจีนถือหุ้นมีเพียง 40 - 50 บริษัท/ปี แต่ปีที่แล้วพบว่ามีการจัดตั้งขึ้นใหม่กว่า 300 บริษัท และหากย้อนรวม 5 ปี มีการจัดตั้งบริษัทใหม่กว่า 500 - 600 บริษัท และอยู่ในกรณีเงื่อนไขเดียวกันคือคนไทยถือหุ้น 51% เป็นใครก็ไม่รู้จะต้องไปตรวจสอบ และอีก 49% ถือโดยบริษัทต่างชาติของจีน ทั้งหมดนี้เป็นตัวชี้เป้าว่าบริษัทไชน่าฯ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง รัฐบาลควรลงไปตรวจสอบอย่างจริงจังกับผู้รับเหมารายอื่นว่ามีพฤติกรรมเดียวกันหรือไม่
นายสิทธิพล กล่าวถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนบริษัทตั้งใหม่ที่ร่วมทุนกับจีน ว่าที่ผ่านมากรมธุรกิจการค้าอาจไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เพราะทำหน้าที่เพียงจดจัดแจงตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่วันนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น โดยเฉพาะปัญหานอมินีไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดเป็นปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนมาโดยตลอด หลายธุรกิจที่มีลักษณะเดียวกัน เช่น ภาคการเกษตร ภาคการศึกษา ที่มีการขายวุฒิให้วิศวกรเพื่อนำไปประกอบอาชีพ ใช้วีซานักเรียนวีซ่านักศึกษาเพื่อไปทำงานในธุรกิจนอมินีด้วย ดังนั้นรัฐบาลต้องจริงจังในการบังคับใช้กฎหมายแก้ไขปัญหานี้อย่างเข้มงวด โดยเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากการเพิกเฉยและละเลยมาอย่างยาวนาน
นายสิทธิพล เชื่อว่ากฎหมายที่มีอยู่มีความครอบคลุม ในการบังคับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาแต่ขาดการประสานงาน เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าทำหน้าที่รับจดแจ้งจัดตั้งบริษัท แต่บอกว่าตัวเองไม่ได้มีอำนาจในการสืบสาวเส้นสายทางการเงินของนักลงทุนมาจากที่ไหน โดยอ้างว่าเป็นอำนาจของดีเอสไอ แต่ดีเอสไอแจ้งว่าจะเป็นคดีได้ก็ต่อเมื่อเป็นคดีอาชญากรรมที่ต้องโยงกับความผิดอื่น ซึ่งวันนี้ธุรกิจนอมินีที่ถูกจับเป็นเพราะผู้ถือหุ้นไปทำธุรกิจอื่นเช่นการทำเว็บพนัน หรือคอลเซนเตอร์ เมื่อถูกจับได้ก็ถูกสืบสาวเส้นทางการเงินจนพบว่ามีการลงทุนในบริษัทนอมินี
อ่านข่าว : รวบตัวผู้ต้องสงสัย ยิง "พระ-เณร" อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
เลี้ยงสัตว์ใน กทม.ต้องรู้ กฎหมายใหม่ ควบคุมการเลี้ยง-ปล่อยสัตว์