‘ไทย-เมียนมา’ลงนามยกเว้นวีซ่าอยู่ได้ 14 วัน ใช้เฉพาะเข้าทางอากาศ-ทางบกชะลอไว้ก่อน
วันนี้ (24 ก.ค.2558) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมา (MOU) เรื่องยกเว้นการตรวจลงตราหรือยกเว้นวีซ่า ให้ผู้ถือหนังสือเดินทางแบบธรรมดา เมื่อวันที่ 21 ก.ค.2558
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงนามข้อตกลงระหว่างทั้งสองประเทศ จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้าที่ จ.เชียงใหม่ โดยรมว.ต่างประเทศของไทย และเมียนมาเป็นผู้ลงนาม ซึ่งผู้ที่เดินทางไปยังประเทศเมียนมา และผู้ที่เดินทางจากประเทศเมียนมา มายังประเทศไทย ที่ถือหนังสือเดินทางแบบธรรมดาได้รับยกเว้นวีซ่า จำกัดเฉพาะการเดินทางผ่านท่าอากาศยานนานาชาติเท่านั้น โดยมีสิทธิ์พำนักในประเทศนั้นๆ ได้ไม่เกิน 14 วัน ร่างเนื้อหาของข้อตกลงนี้เคยเป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2556 แต่การเดินหน้าลงนามข้อตกลงหยุดไปกลางคัน ช่วงการมีรัฐประหารเมื่อปี 2557
สำหรับการอนุญาตยกเว้นวีซ่าในเมียนมา จะบังคับใช้กับสนามบินนานาชาติ 3 แห่ง ได้แก่ กรุงเนปิดอว์ ย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ ขณะที่ในประเทศไทยมีสนามบินนานาชาติ 23 แห่ง ซึ่งทั้งสองประเทศมีสายการบินที่มีเส้นทางการบินระหว่างกันทั้งหมด 7 สายการบิน
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์สำนักข่าวอิระวดี (http://www.irrawaddy.org) ของเมียนมา ระบุว่า ก่อนหน้าทางการเมียนมาต้องการให้ยกเว้นวีซ่าครอบคลุมไปถึงการผ่านแดนทางบกด้วย แต่ข้อเสนอนี้ตกไปเนื่องจากไทยเห็นว่า ข้อตกลงยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศผ่านทางเขตแดนทางบกยังไม่ควรใช้ ให้ทดลองผ่านทางอากาศไปก่อน ทั้งนี้ทางกระทรวงต่างประเทศเมียนมา ระบุว่า นักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศที่ผ่านเขตแดนทางบกมีเป็นจำนวนมาก เมียนมาจึงต้องการให้ไทยยกเว้นวีซ่า ณ จุดข้ามแดนเหล่านี้ด้วย
เว็บไซต์สำนักข่าวอิระวดีเปิดเผยอีกว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวโรงแรมที่พักของเมียนมา ต่างมีเสียงตอบรับอย่างดีต่อการเว้นวีซ่าระหว่างกันครั้งนี้ และคาดหวังว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยจะกลับมาเติบโตเป็นอันดับต้นๆ อีกครั้ง จากสถิติของกระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวของเมียนมาบันทึกไว้ว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค.ปี 2558 คนไทยเข้าไปเที่ยวที่ประเทศเมียนมาเกือบๆ 70,000 คน รองลงมาได้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีน 45,000 คน โดยปีนี้ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ 5 ล้านคน เน้นเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่พื้นที่ชาวฝั่ง เขตชายแดน และมีแผนพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานในแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวิตศาสตร์เพิ่มมากขึ้น
ติดตามข่าวสารผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ไทยพีบีเอสออนไลน์
https://www.facebook.com/ThaiPBSNews?ref=hl