สองมหาอำนาจ “จีน-สหรัฐฯ” งัดข้อกดดันค่าเงินหยวน...ผลต่อไทยอยู่ในวงจำกัด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ประเด็นข้อพิพาทเพื่อกดดันค่าเงินหยวนระหว่างสหรัฐฯและจีนภายหลังจากที่วุฒิสภาของสหรัฐฯมีมติอนุมัติร่างกฎหมายปฏิรูปการควบคุมดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (Currency Exchange Rate Oversight Reform Act ) ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่จะอนุญาตให้รัฐบาลสหรัฐฯสามารถดำเนินการทางด้านภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้าที่นำเข้าจากประเทศที่อุดหนุนการส่งออกด้วยวิธีการลดค่าเงินนั้นน่าจะอยู่ในวงจำกัด เพราะความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังต้องพึ่งพากัน อีกทั้งหากเกิดสงครามชิงไหวชิงพริบทางเศรษฐกิจการเงิน และการเมืองระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกในขั้นรุนแรง ก็อาจจะยิ่งซ้ำเติมความอ่อนแรงของเศรษฐกิจโลกให้ซบเซาหนักยิ่งขึ้นได้
แม้ว่าเงินหยวนจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากแรงกดดันดังกล่าว แต่จีนก็น่าจะยังคงเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญของโลก ดั่งจะเห็นได้จากขนาดมูลค่าการส่งออกของจีนไปยังตลาดโลกที่แซงหน้าเยอรมนีขึ้นมาครองอันดับหนึ่งในขณะนี้ที่สัดส่วนประมาณร้อยละ 10 และคงจะไม่ง่ายนักที่จะมีประเทศใดก้าวขึ้นมามีบทบาททัดเทียมได้ในระยะเวลาอันใกล้ ดังนั้น การตอบโต้ระหว่างกันของจีนและสหรัฐฯในกรณีนี้ไม่น่าจะรุนแรงมากนัก ทำให้ผลกระทบต่อไทยจึงน่าจะอยู่ในวงจำกัด
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการของไทยก็ควรต้องติดตามความเคลื่อนไหวของแนวทางการจัดการของทั้งสองประเทศต่อข้อพิพาทดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อประโยชน์ต่อการปรับตัวและรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ควรละเลยที่จะเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในด้านคุณภาพ รูปลักษณ์ และการบริหารจัดการต้นทุน เป็นต้น เพื่อให้สินค้าไทยยังคงมีบทบาทในตลาดส่งออกหลักทั้งสองได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ