แนวทางการจัดการน้ำของ 
ในภาพรวมของน้ำที่อยู่ขอบกรุงเทพฝั่งตะวันออกบริเวณดอนเมือง หลักสี่ สายไหม จะเห็นในแผนที่ว่าเป็นพื้นที่สีฟ้าที่เริ่มถูกน้ำท่วมแล้วจากน้ำที่ระบายมาจากทางตอนเหนือ และ เมื่อเกิดการผันน้ำไปทางฝั่งตะวันออก จากคลองหกวา รังสิต ด่านรับน้ำสุดท้ายกรุงเทพ พื้นที่รับน้ำคือคลองสามวา หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง
รศ.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมอุทยานสิ่งแวดล้อม นานาชาติสิรินธร ระบุว่า น้ำในกรุงเทพจะค่อยๆเอ่อล้น แต่เชื่อมั่นว่าไม่น่าจะท่วมทุกพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร เพราะความแข็งแรงของคันกั้นน้ำคอนกรีต ซึ่งจะต่างจากกรณีน้ำท่วมที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ที่น้ำสูงขึ้นด้วยความรวดเร็วถึง 1 เมตร เป็นเพราะน้ำบ่าไหลไปจาก อ.ไทรน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา หลังคันกั้นน้ำแตกไปก่อนหน้า
แม้สถานการณ์น้ำเหนือจะเริ่มดีขึ้นปริมาณน้ำที่ จ.นครสวรรค์น้อยลง แต่ยังคงอยู่มากที่ จ.สิงห์บุรี อ่างทอง และ พระนครศรีอยุธยา ประกอบกับภาวะลมแรงจะยิ่งยกระดับน้ำทะเลให้สูงขึ้น อ.เสรี ระบุว่า การปล่อยน้ำให้ไหลผ่าน กทม. ถือเป็นการระบายน้ำที่ดีที่สุด และเชื่อว่า พื้นที่ชั้นในจะไม่ถูกกระทบมาก
สำหรับแนวทางการจัดการน้ำของรัฐบาลวานนี้ ( 21 ต.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จะไม่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเลือกที่จะใช้มาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด ซึ่งหมายถึงนายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจสั่งการเหล่าทัพและ กทม. เพื่อรับทราบแนวทางปฏิบัติที่ต้องเป็นเอกภาพ การประกาศใช้เกิดขึ้นกลางห้องประชุม ซึ่งน่าจะหมายถึงการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ และ ความหมายของ พ.ร.บ.นี้ครอบคลุมว่า มีอำนาจเหนือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งน่าจะหมายถึงการทำงานของกรุงเทพมหานครด้วย
กรณีที่กำลังจะเกิดขึ้นคือศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยหรือ ศปภ ประสาน กทม. เปิดคลอง 3 แห่งในพื้นที่ชั้นใน กทม. เพื่อการระบายน้ำออกสู่ทะเล ที่ต้องการเร่งทำโดยเร็วที่สุด
อีกด้านหนึ่งวานนี้ ( 21 ต.ค.) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยอมรับว่า จัดการกับน้ำเหนือที่เริ่มเข้ากรุงเทพมหานครได้ยาก และระบุว่าสถานการณ์ในคลองรังสิตประยูรศักดิ์ที่สูงขึ้น จนเอ่อล้นคันกั้นน้ำชั่วคราวจะประสาน ศปภ. ให้ดูแล