ศาลปกครองยกคำร้องขอระงับการขึ้นราคาก๊าซ
หลังศาลปกครองกลางใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมงในการพิจารณาไต่สวนคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟ้องนายกรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ที่อนุมัติให้ขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี และขอให้เปิดเผยต้นทุนราคาก๊าซเอ็นจีวี
ในที่สุด องค์คณะตุลาการศาลปกครองโดยนายเทอดพงศ์ คงจันทร์ ตุลาการศาลปกครอง ในฐานะตุลาการเจ้าของสำนวนได้มีคำสั่งไม่คุ้มครองชั่วคราวให้ศาลสั่งระงับการปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีและแอลพีจี จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา
โดยเหตุที่ศาลไม่มีคำสั่งชั่วคราว ระบุว่า ข้ออ้างของมูลนิธิคุ้มครองเพื่อผู้บริโภคและพวกในชั้นการพิจารณาคำขอวิธีการคุ้มครองชั่วคราวยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า มติครม. และมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลต้องพิจารณาต่อไป หากศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติ กพช. และ มติ ครม. ในระหว่างการพิจารณานี้ จะมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ กพช. ในการกำกับ และกำหนดราคาพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายแผนการบริหาร และพัฒนาพลังงานประเทศ อันเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานของรัฐ หรือ แก่บริการสาธารณะได้
ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า การปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี ของบริษัท ปตท.ไม่เป็นไปตามกลไกของตลาด และไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค เนื่องจาก ปตท. เป็นผู้คุมกลไกราคาตั้งแต่การจัดหา การผลิต การจำหน่าย ซึ่งน่าจะควบคุมราคาให้ถูกได้
ขณะที่นายเติมชัย บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ปตท. แย้งว่าราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ศาลยังไม่มีคำสั่งในคดีนี้แต่อย่างใด
การฟ้องศาลปกครองครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อมูลนิธิฯได้ตั้งคำถามถึงต้นทุนเอ็นจีวี และแอลพีจีแท้จริงอยู่ที่เท่าไร จึงทำให้บริษัท ปตท.ต้องประสบปัญหาขาดทุนทั้งที่ราคาตลาดหลัก เช่น เฮนรี่ ฮับ ซึ่งเป็นราคากลางของสหรัฐอเมริกาถูกกว่ามาก
ด้านไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. และนายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน ระบุว่า ราคาก๊าซในสหรัฐฯที่ลดลงเกิดจากนโยบายพลังงานภายในประเทศ จึงไม่สามารถนำมาอ้างอิงได้ ขณะที่สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเคยศึกษาและสรุปราคากลางของเอ็นจีวีควรจะอยู่ที่ประมาณ 15 บาทต่อกิโลกรัม
สำหรับมติการขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีที่กลายเป็นประเด็นฟ้องร้องครั้งนี้จะปรับขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม จนถึงสิ้นปีนี้ รวมปรับขึ้น 6 บาท ส่วนหนึ่งเกิดจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำลังติดลบลงเรื่อยๆ ล่าสุด ติดลบมากถึง 14,550 ล้านบาท เนื่องจากนโยบายรัฐบาลชุดก่อนๆ ที่นำเงินมาอุดหนุนเอ็นจีวี ในอัตรากิโลกรัมละ 2 บาท และยังชดเชยนำเข้าแอลพีจี อีกเดือนละ 2,153 ล้านบาท