สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านพลังงาน แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีมาตรการคว่ำบาตรแต่อิหร่านกลับมีปริมาณก๊าซสำรองมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าประเทศซาอุดิอาระเบีย
นอกจากนี้ มาตรการคว่ำบาตร ยังส่งผลให้อิหร่านต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น จึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีและธุรกิจบริการด้านปิโตรเลียม ซึ่งหลังจากการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอย่างเป็นทางการ คาดว่า อิหร่านจะเป็นประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี การซ่อมบำรุงและธุรกิจปิโตรเลียม ซึ่งหากนำจุดแข็งมาร่วมกับบริษัทพลังงานของไทย ก็จะสามารถขยายการทำธุรกิจร่วมกันได้ในอนาคต
นอกจากนี้ ภายหลังการหารรือกับนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงปิโตรเลียมสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ได้ให้สถานทูตไทยและสถานทูตอิหร่าน ทำข้อตกลงการลงทุนด้านปิโตรเลียมร่วมกันเพื่อให้การลงทุนเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ภาคเอกชนด้านพลังงาน ระบุว่า บริษัทสนใจเรื่องก๊าซในอิหร่าน ซึ่งในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่อาจมีการร่วมทุนด้านพลังงาน เพื่อเป็นแหล่งพลังงานแห่งใหม่ของไทย แต่ปัจจัยในการตัดสินในร่วมลงทุนยังอยู่ที่การทำธุรกรรมทางการเงินในอิหร่าน
ขณะที่ในวันพรุ่งนี้ (23 พ.ย.2558) ต้องจับตากิจกรรมเจรจาการค้า หรือ Business Matching โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดให้ภาคเอกชนไทยพบปะหารือกับนักธุรกิจและภาครัฐของอิหร่าน เพื่อเพิ่มศักยภาพการลงทุนของไทย