ความคุ้มค่าในการลงทุนในอาคารชุดใจกลางเมือง
อาคารชุดใจกลางเมืองยังมีความคุ้มทุนประมาณ 11.4% ต่อปี จึงกระตุ้นให้มีการพัฒนาขึ้นอีกมากในอนาคต ทำให้มีโอกาสจะเกิดอาคารชุดใจกลางเมืองถึงราว 60% ของโครงการที่อยู่อาศัยเกิดใหม่ทั้งตลาด
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้ศึกษาเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ศกนี้ พบว่าอาคารชุดใจกลางเมืองมีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.9% และมีอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าปีละ 6.5% รวมเป็นผลตอบแทนประมาณ 11.4% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งนี้ค่าเช่าพื้นที่ห้องชุดตกเป็นเงินประมาณ 338 บาทต่อเดือนต่อต่อตารางเมตร
ทำเลที่มีผลตอบแทนสูงสุดก็คือ ถนนสุขุมวิทช่วงต้น ตั้งแต่สุขุมวิทซอย 1 – ซอย 69 มีอัตราผลตอบแทนรวมประมาณปีละ 13.4% ทั้งนี้แยกเป็นราคาปรับเพิ่มขึ้นปีละ 6.3% และอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าปีละ 7.2% สำหรับผลตอบแทนจากการให้เช่านั้นคำนวณโดย ใช้ค่าเช่าตลาด คูณด้วย 10 เดือน หาร ราคาตลาด โดยถือว่าในการเช่านี้จะช่วงว่างที่ไม่มีผู้เช่า และมีค่าใช้จ่ายในการให้เช่ารวมทั้งภาษีเป็นเงินประมาณ 2 เดือนของค่าเช่า
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่ราคาปรับเพิ่มสูงสุดได้แก่พื้นที่ ปิ่นเกล้า-พระราม 8 โดยปรับเพิ่มขึ้น 6.4% ต่อปี ส่วนพื้นที่ที่มีอัตราผลแทนจากการให้เช่าสูงสุดก็คือ พื้นที่ถนนสุขุมวิทช่วงต้น (สุขุมวิทซอย 1-69) สำหรับพื้นที่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นต่ำสุดได้แก่ พื้นที่สีลม-สาทร โดยในปีที่ผ่านมาราคาเพิ่มเพียง 2.2% นอกจากนั้น สำหรับพื้นที่ที่อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าต่ำสุดได้แก่พื้นที่สีลม-สาทรเช่นกัน คือมีอัตราผลตอบแทนเพียง 5.5% ทั้งนี้เพราะในพื้นที่ศูนย์ธุรกิจนี้ราคาค่อนข้างจะสูงอยู่แล้ว จึงมีราคาเพิ่มขึ้นน้อยมาก
เมื่อพิจารณาถึงที่ตั้งของห้องชุดที่อยู่ใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฟ้าจะพบว่า หากตั้งอยู่ไม่เกิน 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า การลงทุนในห้องชุดเหล่านี้ จะให้ผลตอบแทนประมาณ 12.4% ต่อปี แต่หากโครงการอาคารชุดตั้งอยู่ในระยะ 500-1,000 เมตร อัตราผลตอบแทนจะลดลงเป็น 11.0% ต่อปี หากตั้งอยู่ในระยะ 1,000-1,500 เมตร อัตราผลตอบแทนจะเป็น 10.7% ต่อปี และหากตั้งอยู่ในระยะตั่งแต่ 2,000 เมตรขึ้นไป อัตราผลตอบแทนจะลดลงเหลือเพียง 9.2% ต่อปี ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ามีผลต่ออัตราผลตอบแทนในการลงทุนในห้องชุดเป็นอย่างสูง
ในปี 2555 ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดการว่าจะมีที่อยู่อาศัยเกิดใหม่รวมกันประมาณ 86,000 หน่วย คาดว่าจะเป็นห้องชุดประมาณ 60% หรือประมาณ 52,000 หน่วย ทำให้อุปทานของห้องชุดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หากแนวโน้มนี้ยังเป็นต่อไปอีก 3 ปี ก็อาจจะทำให้ตลาดอาคารชุดล้นตลาดได้ในปี 2559 ดังนั้นผู้ซื้อบ้าน นักลงทุน และนักพัฒนาที่ดิน สมควรติดตามสถานการณ์โดยใกล้ชิด