ชุดสืบสวนเตรียมรายงานคืบคดีระเบิดกลางเมือง
ชุดสืบสวนของตำรวจนครบาลนำกำลังเข้าตรวจค้นโรงแรมนาซ่าเวกัส ย่านรามคำแหง ที่ น.ส.โรฮานี ไลลา หนึ่งในผู้ต้องหาชาวอิหร่านที่ร่วมก่อเหตุ ระเบิด 3 จุด บริเวณซอยสุขุมวิท 71 ได้เคยมาเช่าห้องพักอาศัยอยู่อีกครั้งเพื่อตรวจหาผู้ต้องสงสัยร่วมก่อเหตุ จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพบ นายมาดานี่ เซเยส เมอร์แดด อายุ 33 ปี สัญชาติอิหร่าน เป็นผู้เช่าห้องพักดังกล่าว พบคอมพิวเตอร์ 1 ชุด โทรศัพท์มือถือ และข้าวของต้องสงสัยจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้ทำการตรวจเก็บรายละเอียดที่พบไว้ประกอบสำนวนคดี
นอกจากนี้ยังพบว่า นายมาดานี่ หนังสือเดินทางขาดอายุจึงควบคุมตัวไว้ตาม พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง เบื้องต้นตำรวจพยายามสื่อสารกับผู้ต้องสงสัยรายนี้เป็นภาษาอังกฤษ แต่เจ้าตัวอ้างว่าไม่สามารถพูดได้จึงได้ควบคุมตัวไปยังสอบสวนที่ สน.คลองตัน ต่อไป
สำหรับนายมาดานี่ เซเยส เมอร์เดด ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับคดีระเบิด เนื่องจากชุดสืบสวนทำการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของ นายซาอิด โมราบิ ผู้ต้องหาที่ถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บ และ นายมูฮัมหมัด ฮาซาอิ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งพบว่า บุคคลทั้งสามมีการสื่อสารกันอยู่ตลอด และวันเกิดเหตุนายมาดานี ได้ไปปรากฎตัวอยู่บริเวณด้านหน้าของอาคารสถานทูตอิสราเอล
จากการตรวจสอบประวัติของนายมาดานี พบว่าเดินทางเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2554 หนังสือเดินทางขาดอายุเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 เมื่อมาถึงประเทศไทย ได้มาเข้าพักที่อาคารนาซ่าเวกัส เพียงแห่งเดียว โดยเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกไปไหนมีเพียงเพื่อนชาวอิหร่านซึ่งประกอบอาชีพเป็นกุ๊กโรงแรมแห่งหนึ่งย่านซอยนานา และพักอยู่อาคารเดียวกันเป็นคนส่งอาหารให้ตลอด ซึ่งตำรวจได้เข้าตรวจค้นที่พักของกุ๊กคนดังกล่าว พบกำลังพักผ่อนอยู่ภายในห้องพร้อมกับหญิงชาวต่างชาติ จึงได้นำตัวไปสอบปากคำเช่นเดียวกัน
ส่วนกรณีการตรวจสอบสติ๊กเกอร์ SEJEAL หรือ ซิ้จยิ้ล ขณะนี้ยังสรุปไม่ได้ว่าผลิตขึ้นในประเทศเยอรมัน และนำเข้ามาเพื่อใช้ก่อเหตุร้ายในประเทศไทยรวมทั้งเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อหาตัวบุคคลที่นำแผ่นสติกเกอร์ไปติดตามที่สาธารณะ ซึ่งเบื้องต้นบางจุดมีภาพ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์
ส่วนการตรวจดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือแฝงบนเอกสารของโรงแรมที่ผู้ต้องหาเคยเข้าพักทั้งใบเสร็จรับเงิน และวัตถุพยานอื่นพบดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือแฝง เป็นของกลุ่มผู้ต้องหาชาวอิหร่าน ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่จะใช้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง
ขณะที่การตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุระเบิดดังกล่าว เช่น บ้านพัก, ตู้โทรศัพท์สาธารณะ, รถยนต์ของชาวบ้าน รวมทั้งโรงเรียนละแวกจุดเกิดเหตุ รวมเป็นมูลค่าประมาณ 5,900,000 บาท แต่ยังไม่รวมความเสียหายที่มีผู้บาดเจ็บ เนื่องจากประชาชนยังไม่เข้าแจ้งความ
พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนเปิดเผยว่า ด้านการสอบสวนเจ้าหน้าที่ยังสอบปากคำพยานบุคคลเพิ่มเติมเพื่อให้รายละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น โดยทีมคลี่คลายคดีจะนำข้อมูลทั้งหมดมารายงาน และวิเคราะห์ร่วมกันในที่ประชุมวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ ขณะที่การขอตัวนายมะห์ซุด ซีดากัส ซาเดท ผู้ต้องชาวอิหร่านที่ถูกทางการมาเลเซียจับกุมได้นั้น ทางมาเลเซียก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี