กมธ.กีฬาวุฒิฯขอเป็นกาวใจทุกฝ่ายกรณี “บัวขาว” หัวหน้าค่ายย้ำไม่ยุติธรรม-หวั่นคลื่นกระทบฝั่งวงการมวย
จากกรณีของ "บัวขาว ป.ประมุข" ที่ขึ้นชกไทยไฟต์ได้ฝ่าฝืน พระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ.2542 โดยที่เจ้าของค่ายมวย ป.ประมุข ไม่ยินยอม กรณีดังกล่าวอาจจะเป็นคลื่นกระทบฝั่งทั้งจากนักมวยในค่ายเองที่สามารถขึ้นชกได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากค่ายมวยที่ตนเองสังกัด หรือ แม้แต่โปรโมเตอร์ที่ไม่อาจจะไม่พอใจเพราะถือเป็นการแหวกจารีตประเพณีในวงการมวยที่ปฏิบัติกันมา
นัดเคลียร์ใจทุกฝ่าย 26 เม.ย.นี้
นางนฤมล ศิริวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกีฬา วุฒิสภา กล่าวถึงเรื่องกล่าวว่า ทางกมธ.เองได้นัดทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อหาทางออกร่วมกันในวันที่ 26 เม.ย.นี้ โดยหวังว่า บัวขาว ป.ประมุข จะเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า พ.ร.บ.มวย ยังมีข้อดีอยู่มาก เพราะเขียนขึ้นเพื่อปกป้องนักมวยมากกว่าหัวหน้าค่ายมวย แต่รายละเอียดเรื่องสัญญา 8 ปีของนักมวยกับค่ายอาจจะดูว่ามากไปหรือไม่ เพราะในบั้นปลายอาจจะมีการเจ็บป่วยของนักมวย ซึ่ง 2 ปีสุดท้ายน่าจะเปิดโอกาสให้ย้ายสังกัดได้
โดยทาง กมธ.กีฬา ต้องการเชิญทุกฝ่ายมาหารือว่า มันมีความไม่เข้าใจตรงไหน เรื่องค่าจ้าง 50 -50 แบ่งกันอย่างไร และมีการบีบบังคับนักมวยในสังกัดหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ต้องการสอบถามจากทุกฝ่าย เพื่อต้องการเคลียร์ให้ทุกอย่างลงตัว
"บทลงโทษจริง ๆ บัวขาว ป.ประมุข คงไม่ถึงต้องติดคุก ซึ่งบนเวทีเขาเล่นกับคนดูได้ดี เล่นกับแฟนคลับทำให้คนรู้สึกมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นการใช้สื่ออย่างหนึ่ง" นางนฤมล ระบุ
นักมวยต้องรู้สิทธิ์ตนเองมีอะไรบ้าง
ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกีฬา กล่าวอีกว่า ทางออกที่ดีที่สุดคือ ต้องมีหน่วยงานเข้ามาดูแลนักมวยไม่ให้ถูกเอาเปรียบ ต้องเข้ามารักษาสิทธินักมวยทำให้เขารู้ว่า ตนเองมีสิทธิ์อะไรบ้าง แต่หากให้ยกเลิก พ.ร.บ.มวยเลยนั้นไม่เห็นด้วย เพราะ พ.ร.บ.มวยยังมีข้อดีกับนักมวยอยู่มาก
ด้าน"ทนายต๋อย" นายสมบูรณ์ นิรุตติเมธี เจ้าของค่ายมวย และ โปรโมเตอร์แห่งศึกอีมิเน้นท์แอร์ที่เวทีลุมพินี มองว่า โปรโมเตอร์มวยทุกคนมองเหมือนกันว่า ไม่เป็นธรรม เพราะนักมวยจะไปขึ้นต่อยมวยโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของค่ายมวยได้อย่างไรไม่เคยมีมาก่อน เหตุการณ์ของ บัวขาว ป.ประมุข เป็นการทำผิดประเพณีที่ทำกันมายาวนาน ไม่มีใครเห็นด้วยกับการกระทำแบบนั้น
ไม่ยุติธรรมต่อวงการมวย
การจะสร้างนักมวยคนหนึ่งมันต้องการเวลาอย่างน้อย 5-7 ปี และหากจะสร้างนักมวยแบบ บัวขาว ป.ประมุข สร้างนักมวย 100 คนยังไม่รู้เลยว่าจะได้แบบนี้หรือเปล่า ต้องเห็นใจหัวหน้าค่ายมวยบ้าง เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ จนกว่าจะมีชื่อเสียงต้องเสียเงินเลี้ยงดูไปเท่าไหร่ ซึ่งเจ้าของค่ายมวยทุกคนขาดทุนอยู่แล้ว อยู่ดี ๆ มาถูกฉกตัวไปชกแบบนี้ถือว่าไม่ยุติธรรม
"มีบางคนบอกว่า นักมวยอยู่ในสัญญาทาส 8 ปีผมของเถียงว่าไม่จริง เพราะนักมวยในค่ายมวยเราอยู่กันแบบคนในครอบครัวเดียวกัน เคารพกัน ซึ่งสัญญา 8 ปีไม่มีความจำเป็นด้วยซ้ำ และควรจะแก้ให้ไม่มีสัญญาด้วยซ้ำไป แต่ตอนเขียนกฏหมายนี้กลัวถูกครหาเลยใส่ 8 ปีเข้าไป"
หวั่นเป็นคลื่นกระทบฝั่ง-แนะ "บัวขาว" ขอขมา
ทนายต๋อย กล่าวต่อไปอีกว่า เชื่อว่ากรณีดังกล่าวจะเป็นคลื่นกระทบฝั่งต่อวงการมวย เพราะต่อไปต้องมีนักมวยทำแบบ บัวขาว ป.ประมุข แน่นอน และหากการกระทำไม่มีความผิด เด็ก ๆ คนอื่นก็จะเลียนแบบตามได้
อย่างไรก็ดี ทนายต๋อย ตั้งข้อสังเกตว่า กรณีไทยไฟต์มักจะบอกว่าไม่ใช่การชกมวยไทย อาจต้องการหลบเหลี่ยง พ.ร.บ.มวย ที่มีระเบียบเขียนชัดเจน ทั้งการชก 3 ยก หรือแม้แต่ไม่ต้องชั่งน้ำหนักก่อนชกก็ตาม
"ทางออกที่ดีที่สุดคือ บัวขาว ป.ประมุข ต้องเข้าไปขมา กำนันแก๊-ประมุข โรจนตัณฑ์ ที่ได้ทำผิดไปแล้ว ซึ่ง กำนันแก๊ ให้อภัยอยู่แล้ว และ ยินดีรับกลับค่ายด้วยซ้ำ" ทนายต๋อย กล่าวทิ้งท้าย
“วิชัย” หวังให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี
ด้าน น.ต.วิชัย ราชานนท์ อดีตนักมวยไทย-มวยสากล และ เจ้าของค่ายมวยราชานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้คดีนี้จบลงด้วยดี คือให้ทั้ง บัวขาว ป.ประมุข ทำหน้าที่ชกมวยต่อไปได้ และ กำนันแก๊ ก็เป็นโปรโมเตอร์ต่อไปโดยไม่มีฟ้องร้องกัน เพราะอย่างน้อยก็เคยอยู่ด้วยกันมานาน
“ผมในฐานะอดีตนักมวยเข้าใจ บัวขาว ป.ประมุข และในฐานะหัวหน้าค่ายตอนนี้เห็นใจ กำนันแก๊ แต่ทุกอย่างมันต้องหาทางออกร่วมกัน แต่เท่าที่ติดตามข่าวค่อนข้างยากเพราะมีบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
น.ต.วิชัย ยังกล่าวต่อไปว่า ผมไม่กลัวนักมวยผมไปอยู่ค่ายอื่นหรือไปชกโดยที่ผมไม่อนุญาต เพราะผมอยู่แบบครอบครัวนักมวยมีอะไรมาปรึกษาผมได้หมด หากจะไปผมเซ็นลงนามให้ไปได้เลยหากเด็กคนนั้นจะไปแล้วได้ดี