"ศาลอุทธรณ์" ตัดสิน ประหารชีวิต หนึ่งในแกนนำพูโลใหม่ ฐานก่อกบฏ แบ่งแยกดินแดน

อาชญากรรม
27 มิ.ย. 55
08:18
19
Logo Thai PBS
"ศาลอุทธรณ์" ตัดสิน ประหารชีวิต หนึ่งในแกนนำพูโลใหม่ ฐานก่อกบฏ แบ่งแยกดินแดน

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับจากศาลชั้นต้น ให้ประหารชีวิต หนึ่งในแกนนำพูโลใหม่ ในความผิดฐานก่อกบฎแบ่งแยกดินแดน แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิต

ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาของชั้นศาลอุทธรณ์ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นาย กอเซ็ง หรืออูเซ็ง หรือ เจ๊ะเลาะ ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏเพื่อแบ่งแยกอาณาจักร และสมคบกันเป็นซ่องโจร

โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้ตัดสิน ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่า พยานโจทก์มีข้อสงสัยหลายประการ ทำให้ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ ต่อมาอัยการได้ยื่นอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้ประชุมหารือแล้วเห็นว่า ระหว่างปี 2511 - 10 กุมภาพันธ์ 2541 จำเลยซึ่งเป็นสมาชิกของ องค์การปลดแอกแห่งชาติปัตตานี หรือ องค์การปลดปล่อยสหปัตตานี หรือ " ขบวนการพูโล " ซึ่งเป็นขบวนการที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อแบ่งแยกดินแดน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย

ทั้งนี้ จำเลยร่วมกับพวก แบ่งแยกหน้าที่กระทำการเป็นกบฏ สะสมกำลังพลและอาวุธเพื่อเป็นกบฏแบ่งดินแดนราชอาณาจักร โดยการยุยงปลุกระดมราษฏรที่นับถือศาลสนาอิสลาม ให้เข้าเป็นสมาชิก ซึ่งขบวนการพูโล มีพฤติกรรมขู่กรรโชก เรียกเงินค่าคุ้มครองจากพ่อค้านักธุรกิจ ในพื้นที่ 5 จังหวัด เพื่อนำเงินมาจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ ทำการก่อการร้ายในพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยมีเจตนาเพื่อแบ่งแยกดินแดน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกจากราชอาณาจักร สถาปนาเป็นรัฐอิสระ และตั้งเป็นประเทศขึ้นใหม่

ซึ่งการพิจารณาพยานฝ่ายโจทก์มีทั้งหน่วยข่าวกรองทางทหาร ตำรวจชุดจับกุม เบิกความสอดคล้อง มีน้ำหนักเชื่อถือได้ว่า จำเลยเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการในเมือง และมีชื่อจัดตั้ง ว่า ซา การิม ของกลุ่มแนวร่วมพูโลใหม่ มีหน้าที่ฝึกอบรม และร่วมวางแผนก่อการร้าย ประกอบการที่จำเลยไปศึกษาที่ประเทศลิเบีย และซีเรีย แล้วกลับมาในประเทศไทย

จากนั้นก็ไปใช้ชีวิตต่อที่ประเทศมาเลเซีย โดยทิ้งครอบครัวไปนั้น จำเลยไม่สามารถนำพยานสืบให้ศาลเห็นว่าในระหว่างที่จำเลย ไปพำนักที่ประเทศมาเลเซีย นานกว่า 10 ปี จำเลยดำรงชีวิตอย่างไรในแต่ละวัน อีกทั้งก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สามารถจับนายหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ หัวหน้าขบวนการและมีการซัดทอด ถึง จำเลย เกี่ยวกับการทำหน้าที่ และยังระบุ รูปพรรณสัณฐานของจำเลยได้อย่างชัดเจน จนทำให้เจ้าหน้าที่สามารถออกหมายจับจำเลยได้ จึงเชื่อว่า จำเลยมีอุดมการณ์รุนแรงที่จะแบ่งแยกดินแดน ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องพิพากษากลับ ลงโทษประหารชีวิต แต่คำให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต


ข่าวที่เกี่ยวข้อง