อ็อกแฟม - แอมเนสตี้ ออกแถลงการณ์ร่วม เหตุเจรจาการค้าอาวุธครั้งประวัติศาสตร์ในซีเรีย
แถลงการณ์ร่วมระหว่างพันธมิตรควบคุมอาวุธ (Control Arms) อ็อกแฟม (Oxfam) และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ก่อนการประชุมว่าด้วยสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธ ซึ่งจะมีขึ้นที่กรุงนิวยอร์ก วันที่ 2-27 ก.ค.นี้
ถึงเวลาที่ต้องยุติวิธีทำงานแบบ “ผ้าห่อศพ” สำหรับการควบคุมอาวุธ และต้องสนับสนุนให้เกิดสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธที่เข้มแข็ง
ผู้นำการเมืองมีโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ที่จะสนับสนุนเป้าหมายด้านสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมให้อยู่เหนือผลประโยชน์และผลกำไรส่วนตน ในระหว่างการเจรจารอบสุดท้ายเพื่อควบคุมการค้าอาวุธระดับโลกที่เริ่มต้นวันนี้ที่องค์การสหประชาชาติ นักรณรงค์จากทั่วโลกกล่าวเช่นนั้น
พันธมิตรควบคุมอาวุธ (Control Arms Coalition) ซึ่งประกอบด้วยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) อ็อกแฟม (Oxfam) และองค์กรอื่น ๆ จากกว่า 125 ประเทศ เรียกร้องรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ให้เห็นชอบต่อสนธิสัญญาที่มีหลักเกณฑ์เข้มงวดมากขึ้น เพื่อประกันการเคารพต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
โดยเฉลี่ยทุกหนึ่งนาทีจะมีคนเสียชีวิตหนึ่งคน อันเป็นผลมาจากความรุนแรงจากการใช้อาวุธ และเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและละเมิดสิทธิอีกหลายพันคนทุกวัน
"ที่ซีเรีย ซูดาน และกลุ่มประเทศทะเลสาบขนาดใหญ่ 5 แห่ง (The Great Lakes) ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา (Great Lakes of Africa) โลกได้เห็นอีกครั้งถึงต้นทุนของมนุษย์ที่ต้องจ่ายให้กับการค้าอาวุธแบบลับและเปิดเผยที่ไม่บันยะบันยัง เหตุใดเราจึงควรปล่อยให้คนอีกหลายล้านคนต้องถูกสังหารและชีวิตถูกทำลายก่อนที่ผู้นำจะตื่นขึ้นมา และดำเนินการอย่างเฉียบขาดเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายอาวุธระหว่างประเทศ?" ไบรอัน วูด (Brian Wood) ผู้จัดการฝ่ายควบคุมอาวุธและสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว
“การเจรจาว่าด้วยสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธ (Arms Trade Treaty - ATT) เป็นบททดสอบว่านักการเมืองเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงอย่างไร และเห็นชอบต่อหลักเกณฑ์ที่นำไปสู่การยุติการเคลื่อนย้ายอาวุธอย่างไม่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง”
หากไม่สามารถเห็นชอบต่อสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธที่รอบด้าน จะเป็นเหตุให้พลเรือนอีกหลายล้านคนถูกสังหาร ได้รับบาดเจ็บ ถูกข่มขืนกระทำชำเรา และถูกบังคับให้ออกจากถิ่นฐานบ้านเรือนของตน อันเป็นผลมาจากการค้าอาวุธที่ขาดความรับผิดชอบและขาดการจัดการ
เป็นเวลาสี่ทศวรรษมาแล้ว คนในทุกภูมิภาคต้องแบกรับภาระมากกว่า 60,000 ล้านเหรียญเนื่องจากการค้าอาวุธซึ่งส่งเสริมให้เกิดการขัดกันด้วยอาวุธและความรุนแรง คอรัปชั่นและความเสื่อมถอยอย่างรุนแรงของกระบวนการพัฒนา
“เรามีโอกาสครั้งหนึ่งในรุ่นคนของเราที่จะทำให้โลกเป็นสถานที่ปลอดภัยมากขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสนธิสัญญาโดยทั่วไป แต่เป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับการค้าอาวุธที่เติบโตจนยากต่อการควบคุมในปัจจุบัน” แอนนา แม็คโดนัลด์ (Anna Macdonald) หัวหน้าแผนกรณรงค์ควบคุมอาวุธ อ็อกแฟมกล่าว
“จากคองโกถึงลิเบีย จากซีเรียถึงมาลี ทุกประเทศต่างประสบเคราะห์กรรมจากการขาดการควบคุมการค้าอาวุธสงครามและยุทธภัณฑ์ เป็นเหตุให้ความขัดแย้งเหล่านั้นก่อให้เกิดความทุกข์ยากที่ไม่อาจประเมินได้ และจะยังดำเนินต่อไปในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้าถ้านักการทูตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ก็คงทำให้โลกผิดหวัง” แม็คโดนัลด์กล่าวเสริม
ในปัจจุบัน ไม่มีหลักเกณฑ์ระหว่างประเทศที่รอบด้านและมีผลผูกพันตามกฎหมาย ซึ่งครอบคลุมการค้าอาวุธแบบทั่วไปในระดับโลก และมีช่องว่างและช่องโหว่ก็ปรากฏอยู่ทั่วไปในมาตรการควบคุมอาวุธทั้งระดับชาติและภูมิภาค
นักรณรงค์จากทั่วโลกมุ่งมั่นเรียกร้องให้รัฐบาลยุติวิธีทำงานแบบ “ถุงใส่ศพ” ซึ่งรวมทั้งกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติคว่ำบาตรการค้าอาวุธต่อบางประเทศ แต่มักเป็นมติที่เกิดขึ้นหลังจากการค้าอาวุธอย่างไม่มีขอบเขตได้ทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติแล้ว
สนธิสัญญาซื้อขายอาวุธเป็นกลไกที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการส่งมอบอาวุธที่จะนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน ความยากจน และความขัดแย้ง
เพื่อให้หลักเกณฑ์ในสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธมีผลบังคับใช้จริง จะต้องกำหนดให้รัฐบาลควบคุมการขายและการส่งมอบอาวุธสงคราม อาวุธทั่วไป ยุทโธปกรณ์และอุปกรณ์ส่วนควบทั้งหมด ซึ่งต่างเคยถูกใช้เพื่อกิจการความมั่นคงของทหารและหน่วยงานในประเทศ ตั้งแต่รถหุ้มเกราะตลอดจนถึงจรวดมิสไซลส์ และเครื่องบิน ไปจนถึงอาวุธเบา ระเบิดขว้าง และยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ
รัฐจะต้องทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มแข็ง ก่อนให้ความเห็นชอบต่อการขนย้ายหรือธุรกรรมด้านอาวุธระหว่างประเทศ และต้องรายงานให้สาธารณะทราบถึงการให้ความเห็นชอบและการขนย้ายอาวุธทั้งหมด ต้องมีกำหนดความผิดทางอาญาหรือความผิดอื่น ๆ ตามกฎหมายระดับประเทศสำหรับการค้าอาวุธที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือการเปลี่ยนเส้นทางการส่งอาวุธอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ต้องมีมาตรการลงโทษผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีของสนธิสัญญา
“เป็นความจริงที่เหลวไหลและน่ากลัวที่ในปัจจุบันเรามีกฎเกณฑ์ระดับโลกเพื่อควบคุมการค้าผลไม้และซากกระดูกไดโนเสาร์ แต่กลับไม่มีหลักเกณฑ์ควบคุมการค้าปืนและรถถัง” Jeff Abramson ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการการควบคุมอาวุธ (Control Arms Secretariat) กล่าว
“นักรณรงค์ทั่วโลกให้ข่าวกับสื่อมวลชนและกดดันรัฐบาลและรัฐมนตรีให้เจรจาเกี่ยวกับสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธซึ่งจะช่วยรักษาชีวิตมนุษย์จากการมีนโยบายที่เข้มแข็งและมีผลโดยตรงในทางปฏิบัติ” Abramson กล่าวเสริม
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเคยเน้นย้ำถึงบทบาทของพ่อค้าอาวุธ “รายใหญ่หกราย” ของโลก ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งมอบอาวุธสงครามจำนวนมหาศาลให้กับรัฐบาลที่กดขี่ประชาชนทั่วโลก แม้ว่าจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะมีการใช้อาวุธเหล่านั้นเพื่อละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง รวมทั้งการส่งมอบอาวุธของสหรัฐฯ ให้กับอียิปต์ และบาห์เรน รวมทั้งกรณีที่รัสเซีย และจีนส่งมอบอาวุธให้กับซูดาน
เมื่อเร็ว ๆ นี้อ็อกแฟมตีพิมพ์รายงานวิจัยแสดงให้เห็นผลกระทบของการค้ายุทธภัณฑ์ระดับโลกมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญที่มีต่อคนยากจนสุดของประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในรัฐที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งหรือมีสถานการณ์เปราะบางอย่างเช่น อัฟกานิสถานและโซมาเลีย
รัฐบาลส่วนใหญ่ต้องการให้มีความเห็นชอบต่อเนื้อหาของสนธิสัญญาที่เข้มแข็ง แต่ก็มีบางประเทศที่พยายามทำให้หลักเกณฑ์และนิยามของสนธิสัญญาอ่อนแอลง เมื่อเร็ว ๆ นี้สหรัฐอเมริกา จีน ซีเรีย และอียิปต์ แสดงความต่อต้านที่จะให้รวมยุทธภัณฑ์เข้าไปด้วย จีนต้องการให้ตัดหลักเกณฑ์ในสนธิสัญญาเกี่ยวกับอาวุธขนาดเล็กและอาวุธที่มอบเป็น “ของกำนัล” ให้กับรัฐบาลในตะวันออกกลางที่ไม่สนับสนุนสิทธิมนุษยชน
ประชาชนทั่วโลกจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อผู้นำของตนเพื่อเจรจาให้มีเนื้อหาสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธที่เข้มแข็งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งคาดว่าการเจรจาจะสิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม