ชาวบ้านแนวชายแดนไทย-กัมพูชากังวลเปลี่ยนกำลังบนเขาพระวิหาร

การปรับลดกำลังทหารโดยให้ตำรวจตระเวนชายแดน ไปปฏิบัติหน้าที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร ทำให้ชาวบ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ใน จ.ศรีสะเกษ กังวลว่าอาจทำให้ไทยสูญเสียดินแดน และอาจมีผลต่อคำพิพากษาของศาลโลกในปีหน้า

ชาวบ้านที่อาศัยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ยังคงจับกลุ่ม วิพากษ์วิจารณ์ถึงการสับเปลี่ยนกำลังพล โดยให้ตำรวจตระเวนชายแดน ไปปฏิบัติหน้าที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารแทนทหาร ตามคำสั่งของศาลโลก โดยบางส่วนกังวลว่าอาจทำให้ไทยสูญเสียดินแดนเพิ่ม เนื่องจากมีครอบครัวชาวกัมพูชา เข้าไปปลูกสร้างที่พักบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร ทั้งที่เป็นพื้นที่พิพาท และยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน

สอดคล้องกับนายทิวา รุ้งแก้ว ประธานคณะกรรมการประสานงานเพื่อพัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ ที่เห็นว่า ไทยควรถอนทหาร หลังจากมีการปักปันเขตแดนชัดเจนแล้ว เพื่อไม่ให้ครอบครัวชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่พิพาท รวมทั้งยังกังวลว่า การถอนทหารครั้งนี้ อาจมีผลต่อคำพิพากษาของศาลโลก ที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนตุลาคมปีหน้า เพราะอาจทำให้ไทยสูญเสียดินแดนเพิ่มอีก

ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมารสุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องรัฐบาลให้รอบคอบ ในการพิจารณาปรับกำลังทหารตามคำสั่งศาลโลก เนื่องจากอาจจะทำให้กัมพูชา อ้างถึงความสงบเรียบร้อย สามารถเดินหน้าตัดสินเรื่องเขตแดน และ ความพร้อมต่อการขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้

รวมทั้งในพื้นที่ยังมีชุมชนชาวกัมพูชาตั้งอยู่ เพื่อแสดงสิทธิว่าเป็นเจ้าของพื้นที่ รวมทั้งยังคัดค้านการให้คณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าพื้นที่ เพราะจะถูกนำไปเป็นข้อมูล อ้างต่อศาลว่าเป็นพื้นที่ของฝ่ายกัมพูชา

ขณะที่นายอนุสรน์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การปรับกำลังทหารไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้องของกัมพูชา และยังไม่มีการสูญเสียอธิปไตย

ส่วนการเปิดโอกาสให้ผู้สังเกตการณ์จากประเทศอินโดนีเซีย เข้ามาในพื้นที่ ตามคำแนะนำของศาลโลก ถือว่าเป็นการเตรียมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ของไทย