ข้อมูลของสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ที่ถูกเปิดเผยออกมา เป็นข้อความเดียวกันที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยืนยันถึงผลการจับกุมผู้ต้องหาซุกซ่อนอาวุธสงคราม ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่าว่า เบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า จะนำอาวุธไปเตรียมพร้อมสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่กลับคำให้การในภายหลัง
ตั้งแต่วานนี้ (4 พ.ย.) จนถึงเช้าวันนี้ ( 5 พ.ย.) นับเป็นครั้งที่ 2 ที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งข้อสังเกตด้วยการขึ้นข้อความผ่านเว็บไซต์เฟซบุค ระบุว่า มีการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณเกิด ระหว่างจะเดินทางเข้า อ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า เพื่อพบ พล.อ.เต็งเส่ง ประธานาธิบดีพม่า ที่กรุงเนปิดอร์และพบปะประชาชนและล่าสุดกรณีการเดินทางเข้าพม่า
มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยกเลิกกำหนดการเดินทางแล้ว โดยนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุที่จะแถลงข่าวชี้แจงในวันพรุ่งนี้ ( 6 พ.ย.)
สำหรับกรณีลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วงเช้า นายนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธไม่พบข้อมูลการลอบสังหาร แต่ช่วงเย็นข้อมูลจากบุคคลในรัฐบาลกลับเปลี่ยนแปลงยืนยันในข้อเท็จจริง
หากย้อนหลังไป มีเหตุการณ์ที่ถูกอ้างอิงถึงเหตุลอบสังหารอดีตนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นแล้ว 4 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ปี 2544 ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เครื่องบินของสายการบินไทยเกิดเหตุระเบิดขึ้น ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะออกเดินทางกลับ จ.เชียงใหม่ ซึ่งท่ามกลางคำยืนยันว่าเกิดเหตุลอบสังหาร แต่ผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงจากสหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "อุบัติเหตุ" ที่เกิดจากการเปิดแอร์ระหว่างเติมน้ำมัน
ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปี 2546 เป็นกระแสข่าวว่ากลุ่มว้าแดง ตั้งค่าหัว พ.ต.ท.ทักษิณ 80 ล้านบาท แต่ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น, ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ปี 2549 ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปขึ้นเครื่องที่ บน.6 เพื่อเยือนพม่า เกิดเหตุรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ ชนประสานงารถตำรวจทางหลวง ก็ถูกระบุว่า เป็นเหตุลอบสังหาร แต่ท้ายสุดสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ
ครั้งที่ 4 พบรถต้องสงสัยใต้สะพานบางพลัด ซึ่งเป็นเส้นทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเดินทางจากบ้านพักไปทำเนียบรัฐบาล โดยเมื่อตรวจสอบรถ พบระเบิดทีเอ็นทีและซีโฟร์ ก็ถูกระบุเป็นเหตุลอบสังหารพร้อมโยงถึงกลุ่มคนมีสีว่า อยู่เบื้องหลัง